สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (5 ก.ค.) หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐเพิ่มขึ้นในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะปรับตัวลดลง นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันหลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐได้เรียกร้องให้กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ปรับลดราคาน้ำมัน
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนส.ค. ร่วงลง 1.20 ดอลลาร์ หรือ 1.6% ปิดที่ 72.94 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.ย. ลดลง 85 เซนต์ หรือ 1.1% ปิดที่ 77.39 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบร่วงลงหลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐเพิ่มขึ้น 1.2 ล้านบาร์เรล ในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 29 มิ.ย. พร้อมระบุว่า สต็อกน้ำมันเบนซินลดลง 1.5 ล้านบาร์เรล ขณะที่สต็อกน้ำมันกลั่นเพิ่มขึ้น 100,000 บาร์เรล
ก่อนหน้านี้นักวิเคราะห์ในโพลล์สำรวจของเอสแอนด์พี โกลบอล แพลทส์ คาดการณ์ว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐจะลดลง 4.5 ล้านบาร์เรล ขณะเดียวกันคาดว่าสต็อกน้ำมันเบนซินจะลดลง 2.5 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมันกลั่นลดลง 250,000 บาร์เรล
นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังร่วงลงหลังจากปธน.ทรัมป์ได้ออกมากล่าวหาว่ากลุ่มโอเปกเป็นตัวการที่ทำให้ราคาพลังงานโลกปรับตัวสูงขึ้น พร้อมเรียกร้องให้โอเปกปรับลดราคาน้ำมัน เพื่อบรรเทาปัญหาราคาน้ำมันแพง
ปธน.ทรัมป์ทวีตข้อความว่า "โอเปกต้องจำเอาไว้ว่าราคาน้ำมันพุ่งสูง และพวกเขาแทบไม่ได้ช่วยอะไรในเรื่องนี้ โอเปกกำลังผลักดันราคาพลังงานให้เพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่สหรัฐปกป้องสมาชิกของโอเปกหลายประเทศ แต่ราคาน้ำมันกลับแทบไม่ขยับลง มันควรจะต้องเป็นการร่วมด้วยช่วยกัน โอเปกจะต้องลดราคาน้ำมันลงเดี๋ยวนี้!"
ทั้งนี้ ทรัมป์ได้ออกมาแสดงความไม่พอใจโอเปกหลายครั้ง ขณะเดียวกันทางรัฐบาลสหรัฐเองก็กำลังเดินหน้าผลักดันกลุ่มประเทศพันธมิตรในยุโรปให้ยุติการนำเข้าน้ำมันจากประเทศอิหร่าน