สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (1 ส.ค.) หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐพุ่งขึ้นสวนทางกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญคาดการณ์ว่าจะลดลง นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากรายงานที่ว่า กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้นในเดือนก.ค.
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย. ร่วงลง 1.10 ดอลลาร์ หรือ 1.6% ปิดที่ 67.66 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.ย. ดิ่งลง 1.82 ดอลลาร์ หรือเกือบ 2.5% ปิดที่ 72.39 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ร่วงลงหลังจากรายงานของ EIA ระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐพุ่งขึ้น 3.8 ล้านบาร์เรล ในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 27 ก.ค. สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดการณ์ว่าลดลง 2.8 ล้านบาร์เรล
ส่วนสต็อกน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล พุ่งขึ้น 3 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 264,000 บาร์เรล ส่วนสต็อกน้ำมันเบนซินลดลง 2.5 ล้านบาร์เรล ซึ่งลดลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงเพียง 1.3 ล้านบาร์เรล
ขณะเดียวกันตลาดน้ำมันยังถูกกดดันจากผลการสำรวจที่พบว่า กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ได้ทำการผลิตน้ำมันในเดือนก.ค.มากที่สุดนับตั้งแต่ต้นปีนี้ ทำให้นักลงทุนกังวลว่าอุปทานน้ำมันจะพุ่งขึ้นสูงกว่าอุปสงค์ในตลาด
ทั้งนี้ โอเปกเพิ่มกำลังการผลิต 70,000 บาร์เรล/วัน สู่ระดับ 32.64 ล้านบาร์เรล/วันในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของปีนี้
นอกจากนี้ ความกังวลที่ว่าการทำสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐและประเทศคู่ค้าจะกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก รวมทั้งความต้องการใช้น้ำมัน ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ฉุดราคาน้ำมันในตลาดเช่นกัน
รายงานงานสุดระบุว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐ ได้สั่งการให้นายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) พิจารณาปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนสู่ระดับ 25% จากแผนการเดิมที่ระดับ 10% คิดเป็นวงเงินรวม 2 แสนล้านดอลลาร์