สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (3 ส.ค.) ปิดตลาดในแดนลบ เนื่องจากนักลงทุนมีความวิตกเกี่ยวกับปริมาณการผลิตน้ำมันจากรัสเซียและซาอุดิอาระเบีย ซึ่งก่อให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับภาวะน้ำมันล้นตลาด
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย. ลดลง 47 เซนต์ หรือ 0.7% ปิดที่ 68.49 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนต.ค. ลดลง 24 เซนต์ หรือ 0.3% ปิดที่ 73.21 ดอลลาร์/บาร์เรล
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า รัสเซียและชาติสมาชิกกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) เช่น ซาอุดิอาระเบียและคูเวต ต่างมีการผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้นในช่วงนี้ เพื่อชดเชยการผลิตน้ำมันจากอิหร่านที่อาจลดลงจากมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐ โดยกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันได้ทำการผลิตน้ำมันในเดือนก.ค.มากที่สุดนับตั้งแต่ต้นปีนี้ โดยเพิ่มกำลังการผลิต 70,000 บาร์เรล/วัน สู่ระดับ 32.64 ล้านบาร์เรล/วันในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของปีนี้
นอกจากนี้ การซื้อขายยังคงได้รับปัจจัยกดดัน หลังสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐเพิ่มขึ้น 3.8 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดการณ์ว่าลดลง 2.8 ล้านบาร์เรล
ขณะเดียวกัน นายอเล็กซานเดอร์ โนวัค รมว.พลังงานรัสเซีย กล่าวก่อนหน้านี้ว่า การผลิตน้ำมันของรัสเซียจะพุ่งแตะระดับ 11.02 ล้านบาร์เรล/วันในปีนี้ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 30 ปี
ทั้งนี้ นักลงทุนยังคงจับตาสถานการณ์ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ที่สร้างความวิตกกังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและจำกัดความต้องการพลังงานทั่วโลก ล่าสุดกระทรวงพาณิชย์ของจีนประกาศว่า จีนจะเรียกเก็บภาษีจากสินค้านำเข้าจากสหรัฐวงเงิน 6 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยคิดอัตราภาษี 25%, 20%, 10% และ 5% ต่อสินค้า 5,207 รายการของสหรัฐ โดยจีนจะดำเนินการเรียกเก็บภาษีดังกล่าว หากสหรัฐเดินหน้าจัดเก็บภาษีนำเข้าต่อสินค้าจีนวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์