สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดปรับตัวลงเมื่อคืนนี้ (13 ส.ค.) หลังจากมีรายงานว่าสต็อกน้ำมันดิบที่เมืองคุชชิ่ง รัฐโอกลาโฮมา ซึ่งเป็นจุดส่งมอบน้ำมัน พุ่งขึ้นกว่า 1 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว นอกจากนี้ นักลงทุนยังกังวลว่า วิกฤตค่าเงินตุรกี และการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและประเทศคู่ค้า จะส่งผลกระทบต่อแนวโน้มอุปสงค์น้ำมันในตลาด
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย. ลดลง 43 เซนต์ หรือ 0.6% ปิดที่ 67.20 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนต.ค. ลดลง 20 เซนต์ ปิดที่ 72.61 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบปิดในแดนลบเมื่อคืนนี้ หลังจากเจนสเคป (Genscape) ผู้ให้บริการข้อมูลด้านพลังงานระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบที่เมืองคุชชิ่ง พุ่งขึ้น 1.7 ล้านบาร์เรล ในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 10 ส.ค.
นอกจากนี้ ภาวะการซื้อขายในตลาดน้ำมันนิวยอร์กยังได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลที่ว่า วิกฤตค่าเงินลีราที่ดิ่งลงอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน จะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกและอุปสงค์น้ำมันในตลาด โดยกระทรวงพาณิชย์ของจีนแถลงว่า จีนจะเรียกเก็บภาษี 25% ต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐวงเงิน 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมถึงน้ำมันดิบและรถยนต์ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวของจีนมีขึ้นเพื่อตอบโต้สหรัฐซึ่งได้เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มเติมในอัตรา 25% วงเงิน 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 23 ส.ค.
ด้านเบเกอร์ ฮิวจ์ ซึ่งเป็นผู้ให้บริการขุดเจาะน้ำมันของสหรัฐ เปิดเผยในวันศุกร์ว่า แท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐที่มีการใช้งาน มีจำนวนเพิ่มขึ้น 10 แท่น สู่ระดับ 869 แท่นในสัปดาห์นี้ ซึ่งเป็นจำนวนสูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.2558
ทั้งนี้ การเพิ่มจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมัน 10 แท่นในสัปดาห์นี้ ถือเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค. จากการที่บริษัทน้ำมันมีแผนใช้จ่ายมากขึ้นในการสำรวจและผลิตน้ำมัน เนื่องจากคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันจะดีดตัวสูงขึ้นในปีนี้มากกว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา