สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดปรับตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ (24 ส.ค.) โดยได้รับแรงหนุนจากการคาดการณ์เกี่ยวกับภาวะน้ำมันตึงตัวในตลาด ซึ่งรวมถึงผลผลิตจากอิหร่านที่เริ่มส่งสัญญาณหดตัวลง ด้านเบเกอร์ ฮิวจ์ เผยแท่นขุดเจาะน้ำมันลดลงมากที่สุดในรอบกว่า 2 ปี หลังราคาน้ำมันร่วงในช่วงก่อนหน้านี้
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค. เพิ่มขึ้น 89 เซนต์ หรือ 1.3% ปิดที่ 68.72 ดอลลาร์/บาร์เรล และพุ่งขึ้น 5.4% ในรอบสัปดาห์ ซึ่งเป็นการปรับขึ้นครั้งแรกหลังจากที่ลดลงมาเจ็ดสัปดาห์ติดต่อกัน
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนต.ค. เพิ่มขึ้น 1.09 ดอลลาร์ หรือ 1.5% ปิดที่ 75.82 ดอลลาร์/บาร์เรล ขณะที่ทั้งสัปดาห์ พุ่งขึ้นเกือบ 5.6% หลังจากที่ลดลงติดต่อกันมาสามสัปดาห์
ตลาดน้ำมันได้รับปัจจัยหนุนจากการคาดการณ์เกี่ยวกับภาวะน้ำมันตึงตัวในตลาด หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งประธานาธิบดีเมื่อวันที่ 6 ส.ค. เพื่ออนุมัติมาตรการคว่ำบาตรอิหร่านครั้งใหม่ โดยรื้อฟื้นมาตรการคว่ำบาตรต่อภาคการเงินและอุตสาหกรรมของอิหร่าน
มาตรการที่สหรัฐใช้คว่ำบาตรอิหร่านดังกล่าว ถือเป็นมาตรการรอบแรก ก่อนที่สหรัฐจะออกมาตรการคว่ำบาตรรอบ 2 ในเดือนพ.ย. ซึ่งจะพุ่งเป้าไปยังการทำธุรกรรมของธนาคารกลาง การส่งออกน้ำมัน และการขนส่งสินค้าทางเรือของอิหร่าน
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่ามาตรการคว่ำบาตรอิหร่าน จะส่งผลให้ปริมาณน้ำมันในตลาดลดลงราว 600,000-1,500,000 บาร์เรล
นอกจากนี้ การร่วงลงของสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐยังคงเป็นปัจจัยหนุนตลาดน้ำมันเช่นกัน โดยสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยเมื่อวันพุธว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐลดลง 5.8 ล้านบาร์เรล ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงเพียง 1.5 ล้านบาร์เรล
ขณะเดียวกัน ราคาน้ำมัน WTI ได้ทะยานขึ้นกว่า 2% ทะลุระดับ 69 ดอลลาร์อยู่ช่วงหนึ่ง หลังจากที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) แสดงความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจสหรัฐ ในระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์ที่การประชุมเศรษฐกิจประจำปีของเฟด ซึ่งจัดขึ้นที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิง โดยนายพาวเวลกล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีความแข็งแกร่ง และเงินเฟ้อกำลังเข้าใกล้เป้าหมาย 2% ของเฟด ขณะที่การจ้างงานอยู่ในระดับสูง
นายพาวเวลคาดการณ์ว่า การใช้จ่ายที่แข็งแกร่งของภาคครัวเรือน ความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจ การสร้างงานในระดับสูง รายได้ที่เพิ่มขึ้น และการที่รัฐบาลใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ จะช่วยหนุนให้เศรษฐกิจสหรัฐมีการขยายตัวที่สดใสต่อไป
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐที่มีการเปิดเผยวานนี้นั้น กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐ เช่น เครื่องบิน รถยนต์ และเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป ลดลง 1.7% ในเดือนก.ค. โดยได้รับผลกระทบจากการดิ่งลงของคำสั่งซื้อเครื่องบิน
อย่างไรก็ดี ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนพื้นฐาน ซึ่งเป็นคำสั่งซื้อสินค้าทุนที่ไม่รวมเครื่องบิน และสินค้าด้านอาวุธ โดยเป็นสิ่งบ่งชี้แผนการใช้จ่ายของภาคธุรกิจ เพิ่มขึ้น 1.4% ในเดือนก.ค. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.4% หลังจากเพิ่มขึ้น 0.9% ในเดือนมิ.ย.
เมื่อเทียบรายปี ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนพื้นฐานดีดตัวขึ้น 7.2% ในเดือนก.ค.
นอกจากนี้ ภาวะการซื้อขายในตลาดน้ำมันยังได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐ โดยดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.55% แตะระดับ 95.1468 เมื่อคืนนี้
ทั้งนี้ ดอลลาร์ที่อ่อนค่า จะทำให้สัญญาน้ำมันมีความน่าดึงดูดมากขึ้น เนื่องจากทำให้สัญญามีราคาถูกลงสำหรับผู้ถือครองเงินสกุลอื่น
ด้านเบเกอร์ ฮิวจ์ ซึ่งเป็นผู้ให้บริการขุดเจาะน้ำมันของสหรัฐ เปิดเผยว่า แท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐที่มีการใช้งาน มีจำนวนลดลง 9 แท่น สู่ระดับ 860 แท่นในสัปดาห์นี้ โดยเป็นการลดลงมากที่สุดของแท่นขุดเจาะน้ำมันนับตั้งแต่เดือนพ.ค.2559 หรือในรอบกว่าสองปี หลังราคาน้ำมันดิ่งลงในระยะนี้
โดยราคาน้ำมัน WTI ปรับตัวลดลงไปแตะที่ระดับต่ำ 65.01 ดอลลาร์/บาร์เรล เมื่อช่วงกลางเดือนส.ค. ก่อนที่จะกลับมาพุ่งดีดตัวขึ้นนับตั้งแต่นั้น
ขณะเดียวกัน นักลงทุนยังคงจับตาสถานการณ์ความขัดแย้งด้านการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากที่ล่าสุด การเจรจาระหว่างเจ้าหน้าที่สองประเทศเป็นเวลาสองวันได้สิ้นสุดลงโดยไม่มีความคืบหน้าที่สำคัญใดๆ
"เราได้เสร็จสิ้นการหารือสองวันกับเจ้าหน้าที่จีน โดยมีการแลกเปลี่ยนมุมมองในการพัฒนาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่มีความเป็นธรรม สมดุล และมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน" นางลินเซย์ วอลเตอร์ส โฆษกทำเนียบขาวกล่าว พร้อมกับเสริมว่า ทั้งสองฝ่ายยังได้หารือกันเกี่ยวกับการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา และนโยบายถ่ายโอนเทคโนโลยี
การเปิดเผยของทำเนียบขาวมีขึ้นหนึ่งวันหลังจากที่สหรัฐและจีนต่างประกาศบังคับใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าระหว่างกันรอบที่ 2 ในอัตรา 25% วงเงิน 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่สงครามการค้าระหว่างสองชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจทวีความรุนแรงขึ้น