สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 3% เมื่อคืนนี้ (11 ต.ค.) หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 3 นอกจากนี้ การร่วงลงอย่างหนักของตลาดหุ้นสหรัฐยังส่งผลให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจและอุปสงค์พลังงานทั่วโลก
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย. ร่วงลง 2.20 ดอลลาร์ หรือ 3.01% ปิดที่ 70.97 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 21 ก.ย.ปีนี้
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 2.83 ดอลลาร์ หรือ 3.4% ปิดที่ 80.26 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบร่วงลงหลังจาก EIA ระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐพุ่งขึ้น 6 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 5 ต.ค. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นติดต่อกัน 3 สัปดาห์ และมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 2.6 ล้านบาร์เรล
ขณะที่สต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 1 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 422,000 บาร์เรล ส่วนสต็อกน้ำมันกลั่นซึ่งรวมถึงน้ำมันฮีทติ้งออยล์และดีเซล ลดลง 2.7 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 1.71 ล้านบาร์เรล
ทางด้านสถาบันปิโตรเลียมอเมริกา (API) เปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐพุ่งขึ้น 9.7 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่ว สู่ระดับ 410.7 ล้านบาร์เรล
นอกจากนี้ การร่วงลงอย่างหนักของตลาดหุ้นสหรัฐยังส่งผลให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจและอุปสงค์พลังงานทั่วโลก โดยดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กร่วงลงกว่า 500 จุดเมื่อคืนนี้ เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้า และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่ยังคงอยู่ในระดับสูง
สำหรับความเคลื่อนไหวด้านอื่นๆที่ส่งผลต่อภาวะการซื้อขายในตลาดน้ำมันเมื่อคืนนี้ กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ประกาศปรับลดคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันในปีหน้าเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน โดยมีสาเหตุจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง อันเนื่องจากความขัดแย้งทางการค้า และความผันผวนในตลาดเกิดใหม่
ทั้งนี้ โอเปกยังระบุว่า การผลิตน้ำมันของโอเปกเพิ่มขึ้น 132,000 บาร์เรล/วันในเดือนก.ย. สู่ระดับ 32.8 ล้านบาร์เรล/วัน โดยการผลิตน้ำมันที่เพิ่มขึ้นของซาอุดิอาระเบียและลิเบียได้ช่วยชดเชยการผลิตที่ลดลงจากอิหร่าน