สัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้า WTI ฟื้นตัวขึ้นในวันนี้ หลังจากที่ทรุดตัวลงมาสองวันติดต่อกัน โดยภาวะการซื้อขายวันนี้ได้ปัจจัยหนุนจากข้อมูลที่แสดงให้เห็นว่าความต้องการน้ำมันจากจีน ซึ่งเป็นผู้บริโภคน้ำมันรายใหญ่อันดับสองของโลกนั้น เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งช่วยชดเชยปัจจัยลบจากความกังวลเกี่ยวกับสต็อกน้ำมันที่เพิ่มขึ้นในสหรัฐ และสถานการณ์ความขัดแย้งทางการค้าและการเมืองระหว่างสหรัฐกับจีนและซาอุฯ ตามลำดับ
ณ เวลา 18.39 น.ตามเวลาไทย สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ส่งมอบเดือนพ.ย. ซึ่งมีการซื้อขายที่ตลาด NYMEX ปรับตัวขึ้น 60 เซนต์ หรือ 0.87% สู่ระดับ 69.25 ดอลลาร์/บาร์เรล
รัฐบาลจีนเปิดเผยวันนี้ว่า ผลผลิตน้ำมันกลั่นในประเทศซึ่งเป็นผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก ปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 12.49 ล้านบาร์เรล/วัน ในเดือนก.ย. เนื่องจากโรงกลั่นอิสระบางแห่งได้เริ่มกลับมาเปิดดำเนินการอีกครั้ง หลังหยุดยาวในช่วงฤดูร้อน
อย่างไรก็ดี คาดว่าสัญญาน้ำมันดิบ WTI จะปิดท้ายสัปดาห์ด้วยการปรับตัวลดลง ซึ่งจะเป็นสัปดาห์ที่สองติดต่อกัน หลังจากที่ราคาน้ำมันดิบทรุดหนักมาสองวันติดต่อกันในวันพุธและพฤหัสบดี ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐที่พุ่งขึ้นมากกว่าตัวเลขคาดการณ์ในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่นักลงทุนจับตาสถานการณ์ตึงเครียดทางการเมืองระหว่างสหรัฐและซาอุดีอาระเบีย โดยตลาดวิตกว่าความขัดแย้งระหว่างสองประเทศอาจนำไปสู่การใช้การผลิตน้ำมันเป็นอาวุธต่อสู้กันทางการเมือง
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ในตลาดนิวยอร์ก ปรับตัวลดลงแล้ว 3.3% ในสัปดาห์นี้ โดยนักลงทุนจับตาความสัมพันธ์อันตึงเครียดระหว่างสหรัฐและซาอุดีอาระเบีย กรณีการหายตัวไปของนายจามาล คาช็อกกี นักข่าวซาอุดีอาระเบีย โดยล่าสุดนายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐ ได้ตัดสินใจยกเลิกการเข้าร่วมงานประชุม Future Investment Initiative (FII) ที่กรุงริยาด ประเทศซาอุดีอาระเบีย หลังจากที่ก่อนหน้านี้เขายืนยันว่าจะเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ซาอุดีอาระเบียอาจลดกำลังการผลิตน้ำมัน 500,000 บาร์เรล/วัน เพื่อเป็นการตอบโต้ต่อมาตรการคว่ำบาตรจากสหรัฐ หรือมาตรการลงโทษจากประเทศอื่นๆ
ด้านสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้น 6.5 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 12 ต.ค. ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 2.2 ล้านบาร์เรล ส่งผลให้เป็นปัจจัยกดดันตลาดเช่นกัน