สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (19 ต.ค.) โดยได้รับปัจจัยหนุนจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ รวมถึงข้อมูลที่แสดงให้เห็นว่าความต้องการน้ำมันจากจีน ซึ่งเป็นผู้บริโภคน้ำมันรายใหญ่อันดับสองของโลกนั้น เพิ่มสูงขึ้น
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 47 เซนต์ หรือ 0.7% ปิดที่ 69.12 ดอลลาร์/บาร์เรล แต่ปิดท้ายสัปดาห์ร่วงลง 3.1%
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนธ.ค. บวก 49 เซนต์ หรือ 0.6% ปิดที่ 79.78 ดอลลาร์/บาร์เรล แต่ปิดท้ายสัปดาห์ปรับตัวลง 0.8%
สัญญาน้ำมันดิบได้รับปัจจัยหนุนจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ โดยดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.20% แตะระดับ 95.7118 เมื่อคืนนี้
เงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าช่วยเพิ่มความน่าดึงดูดของสัญญาน้ำมัน เพราะทำให้สัญญามีราคาลดลงสำหรับผู้ถือครองเงินสกุลอื่น
อีกปัจจัยที่ช่วยหนุนราคาน้ำมันคือ ข้อมูลที่แสดงให้เห็นว่าความต้องการน้ำมันจากจีนเพิ่มสูงขึ้น โดยรัฐบาลจีนเปิดเผยเมื่อวานนี้ว่า ผลผลิตน้ำมันกลั่นในประเทศปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 12.49 ล้านบาร์เรล/วัน ในเดือนก.ย.
นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังได้แรงหนุนจากการเข้าซื้อเก็งกำไร หลังราคาน้ำมันดิบร่วงลงสองวันติดต่อกัน ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐที่พุ่งขึ้นมากกว่าตัวเลขคาดการณ์ในสัปดาห์ที่แล้ว
สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้น 6.5 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 12 ต.ค. ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 2.2 ล้านบาร์เรล
ทั้งนี้ นักลงทุนยังคงจับตาความสัมพันธ์อันตึงเครียดระหว่างสหรัฐกับซาอุดีอาระเบีย กรณีการหายตัวไปของนายจามาล คาช็อกกี นักข่าวซาอุดีอาระเบีย โดยล่าสุดนายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐ ได้ตัดสินใจยกเลิกการเข้าร่วมงานประชุม Future Investment Initiative (FII) ที่กรุงริยาด ประเทศซาอุดีอาระเบีย หลังจากที่ก่อนหน้านี้เขายืนยันว่าจะเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว