สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (24 ต.ค.) หลังสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันเบนซินของสหรัฐลดลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ยังได้ปัจจัยหนุนจากการคาดการณ์เกี่ยวกับภาวะน้ำมันตึงตัว อันเนื่องมาจากการที่สหรัฐคว่ำบาตรอิหร่าน
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 39 เซนต์ หรือ 0.6% ปิดที่ 66.82 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 27 เซนต์ หรือเกือบ 0.4% ปิดที่ 76.17 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ดีดตัวขึ้นหลังจากรายงานของ EIA ระบุว่า สต็อกน้ำมันเบนซินลดลง 4.8 ล้านบาร์เรล ในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 19 ต.ค. ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์ในโพลล์สำรวจของเอสแอนด์พี โกลบอล แพลทส์ คาดการณ์ว่าจะลดลงเพียง 1.5 ล้านบาร์เรล
ขณะที่สต็อกน้ำมันกลั่นซึ่งรวมถึงน้ำมันฮีทติ้งออยล์และดีเซล ลดลง 2.3 ล้านบาร์เรล ใกล้เคียงกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะลดลง 2.45 ล้านบาร์เรล
อย่างไรก็ตาม รายงานของ EIA ระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น 6.3 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 3.3 ล้านบาร์เรล
นอกเหนือจากสต็อกน้ำมันเบนซินที่ลดลงแล้ว ตลาดยังได้ปัจจัยหนุนจากการคาดการณ์เกี่ยวกับภาวะน้ำมันตึงตัว อันเนื่องมาจากการที่สหรัฐคว่ำบาตรอิหร่าน โดยแหล่งข่าวเปิดเผยว่า การส่งออกน้ำมันจากอิหร่านลดลงใกล้ระดับ 1.5 ล้านบาร์เรล/วันในช่วง 2 สัปดาห์แรกของเดือนนี้ โดยลดลงจากระดับ 2.5 ล้านบาร์เรลในเดือนเม.ย. ขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เตรียมคว่ำบาตรน้ำมันอิหร่านในวันที่ 4 พ.ย.
แหล่งข่าวระบุว่า โรงกลั่นน้ำมันของจีน 2 แห่งไม่มีแผนที่จะสั่งซื้อน้ำมันดิบจากอิหร่านในเดือนหน้า
ทั้งนี้ สหรัฐเรียกร้องให้ประเทศต่างๆ ระงับการซื้อน้ำมันดิบจากอิหร่านโดยสิ้นเชิงภายในวันที่ 4 พ.ย. มิฉะนั้นจะถูกสหรัฐทำการคว่ำบาตร ซึ่งวันที่ 4 พ.ย.ถือเป็นวันครบกำหนด 180 วันนับจากวันที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศถอนตัวจากข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่านในเดือนพ.ค. และจะทำให้ปธน.ทรัมป์สามารถออกคำสั่งคว่ำบาตรอิหร่านครั้งใหม่
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่ามาตรการคว่ำบาตรอิหร่าน จะส่งผลให้ปริมาณน้ำมันในตลาดลดลงราว 500,000-2,000,000 บาร์เรล