สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (30 ต.ค.) หลังจากนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐจะพุ่งขึ้นติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 6 นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังได้รับแรงกดดันจากสัญญาณอุปทานน้ำมันที่เพิ่มขึ้นในตลาด
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 86 เซนต์ หรือ 1.3% ปิดที่ 66.18 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนธ.ค. ร่วงลง 1.43 ดอลลาร์ หรือเกือบ 1.9% ปิดที่ 75.91 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบร่วงลงหลังจากนักวิเคราะห์ในโพลล์สำรวจของเอสแอนด์พี โกลบอล แพลทส์ คาดการณ์ว่า สต็อกน้ำมันดิบจะเพิ่มขึ้น 3.3 ล้านบาร์รเล ในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 26 ต.ค. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นติดต่อกันสัปดาห์ที่ 6 อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์คาดว่าสต็อกน้ำมันเบนซินจะลดลง 2.4 ล้านบาร์เรล และคาดว่าสต็อกน้ำมันกลั่นซึ่งรวมถึงน้ำมันฮีทติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล จะลดลง 2.2 ล้านบาร์เรล
ทั้งนี้ สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA) จะรายงานตัวเลขสต็อกน้ำมันประจำสัปดาห์ของสหรัฐ ในวันนี้ เวลา 21.30 น.ตามเวลาไทย
ขณะเดียวกันสัญญาน้ำมันดิบได้รับแรงกดดันจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ โดยดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.45% แตะระดับ 97.0104 เมื่อคืนนี้
ทั้งนี้ ดอลลาร์ที่แข็งค่า จะลดความน่าดึงดูดของสัญญาน้ำมัน โดยทำให้สัญญามีราคาสูงขึ้นสำหรับผู้ถือครองเงินสกุลอื่น
นอกจากนี้ นักลงทุนยังวิตกกังวลเกี่ยวกับสัญญาณที่บ่งชี้ถึงการเพิ่มขึ้นของอุปทานน้ำมันในตลาด โดยรายงานระบุว่า การผลิตน้ำมันจากรัสเซีย สหรัฐ และซาอุดีอาระเบีย เพิ่มขึ้นแตะระดับ 33 ล้านบาร์เรล/วันเป็นครั้งแรกในเดือนก.ย. ซึ่งเพิ่มขึ้น 10 ล้านบาร์เรล/วันนับตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นทศวรรษนี้ และบ่งชี้ว่าการผลิตน้ำมันจากทั้ง 3 ประเทศดังกล่าวสามารถรองรับอุปสงค์น้ำมันทั่วโลกได้ถึง 1 ใน 3