สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (11 ธ.ค.) โดยได้แรงหนุนจากรายงานข่าวที่ว่า ลิเบียเผชิญปัญหาการผลิตน้ำมันครั้งใหญ่ หลังจากกลุ่มติดอาวุธได้เข้ายึดบ่อน้ำมันเอล ชารารา ซึ่งเป็นบ่อน้ำมันที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศ รวมทั้งข่าวรัสเซียวางแผนปรับลดการผลิตน้ำมันในเดือนหน้า
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนม.ค. เพิ่มขึ้น 65 เซนต์ หรือ 1.3% ปิดที่ 51.65 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 23 เซนต์ หรือ 0.4% ปิดที่ 60.20 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบดีดตัวขึ้นจากรายงานข่าวที่ว่า ลิเบียเผชิญปัญหาการผลิตน้ำมันครั้งใหญ่ หลังจากที่กลุ่มผู้ประท้วงและสมาชิกของกลุ่มปิโตรเลียม ฟาซิลิตีส์ การ์ด ได้ยึดบ่อน้ำมันเอล ชารารา ซึ่งเป็นบ่อน้ำมันที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศ
เนชั่นแนล ออยล์ คอปอเรชั่น (NOC) ซึ่งเป็นบริษัทพลังงานของรัฐบาลลิเบีย ได้ประกาศภาวะสุดวิสัย (force majeure) ด้านการส่งออกน้ำมันจากบ่อน้ำมันเอล ชารารา พร้อมระบุว่าการปิดบ่อน้ำมันเอล ชาราราจะทำให้การผลิตน้ำมันต่อวันของลิเบียลดลงประมาณ 315,000 บาร์เรล และส่งผลให้บ่อน้ำมันเอลฟีลที่มีการผลิตต่อวันอยู่ที่ 73,000 บาร์เรล ต้องหยุดลงด้วยเนื่องจากต้องใช้พลังงานไฟฟ้าจากบ่อน้ำมันเอล ชารารา ดังนั้น การปิดบ่อน้ำมันจะทำให้เกิดการสูญเสียรายได้ 32.5 ล้านดอลลาร์ต่อวัน ทั้งนี้ ภาวะสุดวิสัย (force majeure) เป็นส่วนหนึ่งที่ระบุในสัญญาซึ่งจัดทำขึ้นเพื่อช่วยให้คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นอิสระจากข้อบังคับทางกฎหมาย เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่สามารถควบคุมได้ อาทิ ข้อพิพาทด้านแรงงาน การก่อการร้าย และภัยพิบัติทางธรรมชาติ
นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังได้รับแรงหนุนหลังจากนายอเล็กซานเดอร์ โนวัค รัฐมนตรีพลังงานของรัสเซียเปิดเผยว่า รัสเซียจะปรับลดการผลิตน้ำมันลงอย่างน้อย 50,000-60,000 บาร์เรล/วันในเดือนม.ค. ซึ่งบ่งชี้ว่า ปริมาณการผลิตน้ำมันของรัสเซียในเดือนหน้าจะลดลงสู่ระดับ 11.35 ล้านบาร์เรล/วัน จากระดับ 11.37 ล้านบาร์เรล/วัน
นักลงทุนจับตาสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ซึ่งมีกำหนดเปิดเผยรายงานสต็อกน้ำมันดิบประจำสัปดาห์ในวันนี้ ขณะที่ผลสำรวจความเห็นของนักวิเคราะห์ซึ่งจัดทำโดยวอลล์สตรีท เจอร์นัล ระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐจะลดลง 2.8 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 7 ธ.ค. ขณะเดียวกันคาดว่า สต็อกน้ำมันเบนซินจะเพิ่มขึ้น 1.8 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมันกลั่นจะเพิ่มขึ้น 1.3 ล้านบาร์เรล