สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดดีดตัวขึ้นกว่า 2% เมื่อคืนนี้ (19 ธ.ค.) หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) รายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐลดลงติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 3
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนม.ค. เพิ่มขึ้น 96 เซนต์ หรือ 2.1% ปิดที่ 47.20 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 98 เซนต์ หรือ 1.7% ปิดที่ 57.24 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวขึ้นเป็นวันแรกในรอบ 4 วันทำการเมื่อคืนนี้ หลังจากรายงานของ EIA ระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐลดลง 497,000 บาร์เรลในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 14 ธ.ค. ซึ่งเป็นการลดลงติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 3 แม้จะน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 2.4 ล้านบาร์เรลก็ตาม
ส่วนสต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 1.8 ล้านบาร์เรล ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าเพิ่มขึ้น 1.2 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล ลดลง 4.2 ล้านบาร์เรล ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าเพิ่มขึ้น 573,000 บาร์เรล
ทางด้านสต็อกน้ำมันดิบที่เมืองคูชิง รัฐโอกลาโฮมา ซึ่งเป็นจุดส่งมอบสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้าของสหรัฐ เพิ่มขึ้น 1.09 ล้านบาร์เรล
อย่างไรก็ดี แม้สัญญาน้ำมันดิบปิดในแดนบวก แต่ตลาดยังคงถูกกดดันจากความวิตกเกี่ยวกับภาวะน้ำมันล้นตลาด และความกังวลเกี่ยวกับการขยายตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งจะกระทบต่อความต้องการใช้น้ำมัน
รายงานระบุว่า สหรัฐมีการผลิตน้ำมัน 11.7 ล้านบาร์เรล/วัน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ส่งผลให้สหรัฐเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ที่สุดในโลก แซงหน้ารัสเซียซึ่งมีการผลิตน้ำมัน 11.42 ล้านบาร์เรล/วัน
นักวิเคราะห์กล่าวว่า แม้ที่ประชุม 15 ชาติของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และผู้ผลิตน้ำมันนอกกลุ่มโอเปกได้เห็นพ้องที่จะปรับลดกำลังการผลิตรวมกันอยู่ที่ 1.2 ล้านบาร์เรล/วัน โดยจะมีผลบังคับใช้ในเดือนม.ค.ปีหน้า แต่การปรับลดกำลังการผลิตดังกล่าว ยังคงไม่เพียงพอที่จะทำให้ตลาดอยู่ในภาวะขาดแคลนน้ำมัน