สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดขยับขึ้นเมื่อคืนนี้ (31 ธ.ค.) โดยได้แรงหนุนจากตลาดหุ้นสหรัฐที่ดีดตัวขึ้น นอกจากนี้ การอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ยังเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยหนุนสัญญาน้ำมันดิบเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ตลอดปี 2561 สัญญาน้ำมันดิบ WTI ร่วงลงเกือบ 25% อันเนื่องมาจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะน้ำมันล้นตลาด
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 8 เซนต์ หรือ 0.2% ปิดที่ 45.41 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนมี.ค. เพิ่มขึ้น 59 เซนต์ หรือ 1.1% ปิดที่ 53.80 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นตามทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐที่ดีดตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งเมื่อคืนนี้ ขานรับความหวังเกี่ยวกับการเจรจาข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ทวีตข้อความเมื่อวันเสาร์ ระบุว่า การพูดคุยทางโทรศัพท์กับนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน มีความคืบหน้าอย่างมาก
นอกจากนี้ ภาวะการซื้อขายในตลาดน้ำมันยังได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ โดยดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นมาตรวัดสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐกับตะกร้าสกุลเงินอื่นๆ ปรับตัวลง 0.27% แตะที่ 96.1320 เมื่อคืนนี้ ซึ่งดอลลาร์ที่อ่อนค่าเพิ่มความน่าดึงดูดของสัญญาน้ำมัน เพราะทำให้สัญญามีราคาถูกลงสำหรับผู้ถือครองเงินสกุลอื่น
อย่างไรก็ตาม ตลอดปี 2561 สัญญาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวลงทั้งสิ้น 24.8% ขณะที่สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับตัวลง 19.5% อันเนื่องมาจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะน้ำมันล้นตลาด
นักลงทุนยังคงจับตาการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันของกลุ่มโอเปกและประเทศนอกกลุ่มโอเปก เพื่อบรรเทาความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะน้ำมันล้นตลาด โดยในการประชุมเมื่อวันที่ 7 ธ.ค. สมาชิก 15 ชาติของกลุ่มโอเปกได้บรรลุข้อตกลงปรับลดกำลังการผลิตน้ำมัน 800,000 บาร์เรล/วัน ขณะที่ผู้ผลิตน้ำมันนอกกลุ่มโอเปกจะปรับลดกำลังการผลิต 400,000 บาร์เรล/วัน ซึ่งจะทำให้มีการปรับลดกำลังการผลิตรวม 1.2 ล้านบาร์เรล/วัน คิดเป็นสัดส่วนราว 1% ของการบริโภคทั่วโลก สำหรับข้อตกลงดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ในเดือนม.ค. 2562