สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดปรับตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ (7 ม.ค.) หลังจากมีรายงานว่า การผลิตของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ปรับตัวลดลงในเดือนธ.ค. นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังดีดตัวขึ้นขานรับความหวังที่ว่า การเจรจาระหว่างเจ้าหน้าที่สหรัฐและจีนจะช่วยคลี่คลายข้อพิพาทการค้าระหว่างสองประเทศ อย่างไรก็ตาม สัญญาน้ำมันดิบได้รับแรงกดดันในระหว่างวัน หลังจากโกลด์แมน แซคส์ ได้ปรับลดคาดการณ์ราคาน้ำมันในปีนี้
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 56 เซนต์ หรือ 1.2% ปิดที่ 48.52 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนมี.ค. เพิ่มขึ้น 27 เซนต์ หรือ 0.5% ปิดที่ 57.33 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ปิดตลาดในแดนบวกติดต่อเป็นวันที่ 6 เมื่อคืนนี้ หลังจากผลการสำรวจระบุว่า การผลิตน้ำมันของโอเปกลดลง 460,000 บาร์เรล/วันในเดือนธ.ค. สู่ระดับ 32.68 ล้านบาร์เรล/วัน นำโดยซาอุดีอาระเบีย
ขณะเดียวกันสัญญาน้ำมันดิบยังได้รับแรงหนุนจากรายงานของ Genscape ที่ว่า สต็อกน้ำมันดิบที่เมืองคูชิง รัฐโอกลาโฮมา ซึ่งเป็นจุดส่งมอบสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้าของสหรัฐ ลดลง 565,000 บาร์เรลในระหว่างวันที่ 3-4 ธ.ค.
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยบวกจากการที่นักลงทุนคาดหวังว่า การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนซึ่งจัดขึ้นที่กรุงปักกิ่งในระหว่างวันที่ 7-8 ม.ค.นั้น จะช่วยคลี่คลายข้อพิพาททางการค้าระหว่างสองประเทศ
อย่างไรก็ดี สัญญาน้ำมันดิบถูกกดดันในระหว่างวัน หลังจากโกลด์แมน แซคส์ประกาศปรับลดคาดการณ์ราคาน้ำมันในปีนี้ โดยระบุถึงการพุ่งขึ้นของการผลิตน้ำมันในประเทศต่างๆ รวมทั้งการขยายตัวของการผลิตน้ำมันจากชั้นหินดินดาน (shale oil) ของสหรัฐ
ทั้งนี้ โกลด์แมน แซคส์คาดว่าราคาน้ำมันดิบเบรนท์จะปรับตัวเฉลี่ยที่ระดับ 62.50 ดอลลาร์/บาร์เรลในปีนี้ ลดลงจากตัวเลขคาดการณ์เดิมที่ระดับ 70 ดอลลาร์ ขณะเดียวกันคาดว่า ราคาน้ำมันดิบ WTI จะปรับตัวเฉลี่ยที่ระดับ 55.50 ดอลลาร์/บาร์เรลในปีนี้ ลดลงจากตัวเลขคาดการณ์เดิมที่ระดับ 64.50 ดอลลาร์