สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 2 สัปดาห์เมื่อคืนนี้ (28 ม.ค.) หลังจากมีรายงานว่า สหรัฐเพิ่มแท่นขุดเจาะน้ำมันเป็นครั้งแรกในปีนี้ นอกจากนี้ นักลงทุนยังกังวลว่า การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนอาจส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้น้ำมันด้วยเช่นกัน
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมี.ค. ร่วงลง 1.70 ดอลลาร์ หรือ 3.2% ปิดที่ 51.99 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนมี.ค. ร่วงลง 1.71 ดอลลาร์ หรือ 2.8% ปิดที่ 59.93 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบร่วงลงหลังจากเบเกอร์ ฮิวจ์ ซึ่งเป็นผู้ให้บริการขุดเจาะน้ำมันของสหรัฐ เปิดเผยว่า แท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐที่มีการใช้งาน มีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนธ.ค. สู่ระดับ 862 แท่น ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าผู้ผลิตน้ำมันของสหรัฐจะเพิ่มการขุดเจาะน้ำมันต่อไป
ทางด้านสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สหรัฐมีแนวโน้มผลิตน้ำมันมากกว่า 12 ล้านบาร์เรล/วันในปีนี้ และจะเป็นประเทศที่ส่งออกน้ำมันสุทธิในปี 2563
นอกจากนี้ นักลงทุนยังวิตกกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน หลังจากสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) รายงานว่า กำไรของบริษัทอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในภาคอุตสาหกรรมของจีนในเดือนธ.ค. หดตัวลง 1.9% เมื่อเทียบเป็นรายปี และตลอดปี 2561 กำไรของบริษัทอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ขยายตัวเพียง 10.3% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งชะลอตัวลงจากปี 2560 ที่มีการขยายตัวอย่างแข็งแกร่งถึง 21%
นักลงทุนจับตาสถานการณ์การเมืองในเวเนซุเอลาอย่างใกล้ชิด หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ให้การยอมรับนายฮวน กุยโด ประธานสมัชชาแห่งชาติและผู้นำพรรคฝ่ายค้านของเวเนซุเอลา ในฐานะประธานาธิบดีชั่วคราวของเวเนซุเอลา นอกจากนี้ สหรัฐยังขู่ที่จะคว่ำบาตรการส่งออกน้ำมันของเวเนซุเอลา
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนในสัปดาห์นี้ โดยนายหลิว เหอ รองนายกรัฐมนตรีจีน จะเดินทางถึงสหรัฐในวันที่ 30-31 ม.ค.เพื่อเจรจาการค้ากับเจ้าหน้าที่สหรัฐ และคาดหวังที่จะยุติข้อพิพาททางการค้าที่ยืดเยื้อมาเป็นระยะเวลานานหลายเดือน
ทั้งนี้ หากจีนและสหรัฐไม่สามารถตกลงกันเกี่ยวกับแนวทางแก้ไขปัญหาที่ถาวร ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ก็จะเดินหน้าเพิ่มการเรียกเก็บภาษีนำเข้าต่อสินค้าจีนมูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์ สู่ระดับ 25% จากเดิม 10% ในขณะนี้