สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลดลงเมื่อคืนนี้ (8 มี.ค.) เนื่องจากนักลงทุนมีความวิตกว่า เศรษฐกิจโลกจะชะลอการขยายตัว และอุปสงค์ด้านพลังงานจะลดลง หลังจากสหรัฐเปิดเผยรายงานการจ้างงานที่ต่ำกว่าคาด และจีนเปิดเผยยอดส่งออกทรุดตัวลง
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนเม.ย. ลดลง 59 เซนต์ หรือ 1.0% ปิดที่ 56.07 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนพ.ค. ลดลง 56 เซนต์ หรือ 0.8% ปิดที่ 65.74 ดอลลาร์/บาร์เรล
ตลาดน้ำมัน WTI ปรับตัวลง เนื่องจากนักลงทุนกังวลกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก หลังการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอจากประเทศต่างๆ โดยสำนักงานศุลกากรจีน (GAC) รายงานเมื่อวานนี้ว่า ยอดส่งออกเดือนก.พ.ร่วงลง 20.7% เมื่อเทียบเป็นรายปี สู่ระดับ 1.3524 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ยอดนำเข้าลดลง 5.2% สู่ระดับ 1.3112 แสนล้านดอลลาร์ ส่งผลให้มูลค่าการค้าต่างประเทศของจีนในเดือนก.พ. ลดลง 13.5% แตะที่ระดับ 2.6636 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ
สำนักงานสถิติแห่งชาติของเยอรมนี (Destatis) เปิดเผยเมื่อวานนี้ว่า คำสั่งซื้อภาคอุตสาหกรรมเดือนม.ค.ปรับตัวลง 2.6% ในเดือนม.ค. สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้น 0.5%
กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นเพียง 20,000 ตำแหน่งในเดือนก.พ. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.ย. 2560 และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 180,000 ตำแหน่ง ส่วนอัตราการว่างงานร่วงลงสู่ระดับ 3.8% ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่า จะลดลงสู่ระดับ 3.9%
นอกจากนี้ เมื่อวันพฤหัสบดี ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ได้ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจยูโรโซนในปีนี้ สู่ระดับ 1.1% จากเดิมที่คาดการณ์ในเดือนธ.ค.ปีที่แล้วว่าเศรษฐกิจจะขยายตัว 1.7%
อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบ WTI ลดช่วงติดลบลงได้บางส่วน หลังจากเบเกอร์ ฮิวจ์ ซึ่งเป็นผู้ให้บริการขุดเจาะน้ำมันของสหรัฐ เปิดเผยว่า แท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐที่มีการใช้งาน มีจำนวนลดลง 9 แท่น สู่ระดับ 834 แท่นในสัปดาห์นี้ ซึ่งเป็นการลดลงเป็นสัปดาห์ที่ 3 ติดต่อกัน และบ่งชี้ถึงแนวโน้มการผลิตน้ำมันที่ลดลงในสหรัฐ หลังจากที่การผลิตน้ำมันดิบอยู่ที่ระดับสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 12.1 ล้านบาร์เรลต่อวันในสัปดาห์ที่ผ่านมา