สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (20 มี.ค.) หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) รายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐร่วงลงสวนทางกับการคาดการณ์ ซึ่งช่วยให้นักลงทุนคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะน้ำมันล้นตลาด
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนเม.ย. เพิ่มขึ้น 80 เซนต์ หรือ 1.4% ปิดที่ 59.83 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนพ.ค. เพิ่มขึ้น 89 เซนต์ หรือ 1.3% ปิดที่ 68.50 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นหลังจากรายงานของ EIA ระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐร่วงลง 9.6 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 15 มี.ค. ซึ่งเป็นการลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ค.ปีที่แล้ว และสวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 309,000 บาร์เรล
ขณะที่สต็อกน้ำมันเบนซินร่วงลง 4.6 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงเพียง 2.4 ล้านบาร์เรล ส่วนสต็อกน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล ลดลง 4.1 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 1.1 ล้านบาร์เรล
นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันยังได้แรงหนุนจากการปรับลดกำลังการผลิตของซาอุดีอาระเบีย และกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) รวมทั้งการที่สหรัฐคว่ำบาตรการส่งออกน้ำมันของอิหร่านและเวเนซุเอลา
คณะกรรมการตรวจสอบการปฏิบัติตามข้อตกลงปรับลดกำลังการผลิต (JMMC) ของกลุ่มโอเปกและประเทศผู้ผลิตนอกกลุ่มโอเปกซึ่งรวมถึงรัสเซีย ได้จัดการประชุมที่เมืองบากู ประเทศอาร์เซอร์ไบจาน เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา โดยที่ประชุมได้ออกแถลงการณ์ว่า การปรับลดกำลังการผลิตจะยังคงดำเนินไปจนถึงเดือนมิ.ย.
ทางด้านนายคาลิด อัล-ฟาลีห์ รมว.พลังงานของซาอุดีอาระเบีย กล่าวว่า กลุ่มผู้ผลิตน้ำมันจำเป็นต้องปรับลดกำลังการผลิตต่อไปจนถึงช่วงครึ่งปีหลัง เนื่องจากสต็อกน้ำมันยังคงเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ เมื่อเดือนธ.ค.ปีที่แล้ว โอเปกและกลุ่มประเทศนอกโอเปก นำโดยรัสเซีย เห็นพ้องกันที่จะปรับลดกำลังการผลิตน้ำมัน 1.2 ล้านบาร์เรล/วันเพื่อป้องกันการทรุดตัวของราคาน้ำมัน