สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดเพิ่มขึ้นเมื่อคืนนี้ (29 มี.ค.) โดยได้แรงหนุนจากสัญญาณบ่งชี้ภาวะตลาดน้ำมันโลกตึงตัว เนื่องจากการปรับลดกำลังการผลิตของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) รวมทั้งการที่สหรัฐทำการคว่ำบาตรการส่งออกน้ำมันของอิหร่านและเวเนซุเอลา
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ค. เพิ่มขึ้น 84 เซนต์ หรือ 1.4% ปิดที่ 60.14 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนพ.ค. เพิ่มขึ้น 57 เซนต์ หรือ 0.8% ปิดที่ 68.39 ดอลลาร์/บาร์เรล
นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุน หลังเบเกอร์ ฮิวจ์ ซึ่งเป็นผู้ให้บริการขุดเจาะน้ำมันของสหรัฐ เปิดเผยว่า แท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐที่มีการใช้งาน มีจำนวนลดลง 8 แท่นในสัปดาห์นี้ สู่ระดับ 816 แท่น
ราคาน้ำมันทะยานขึ้นอย่างมากในปีนี้ โดยสัญญาน้ำมันดิบสหรัฐพุ่งขึ้นราว 32% และสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์พุ่งขึ้น 27% ในไตรมาสแรก โดยได้แรงหนุนส่วนใหญ่จากการที่โอเปกและประเทศผู้ผลิตอื่นๆ ดำเนินความพยายามอย่างต่อเนื่องในการปรับลดการผลิตน้ำมัน
ในเดือนธ.ค.ปีที่ผ่านมา โอเปกและผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ รวมถึงรัสเซีย ตกลงที่จะปรับลดการผลิตน้ำมันลง 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน เพื่อหนุนราคา โดยข้อตกลงดังกล่าวมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนม.ค.ปีนี้
โอเปกประกาศยกเลิกการประชุมที่มีกำหนดในวันที่ 17-18 เม.ย.นี้ ซึ่งจะทำให้โอเปกและประเทศพันธมิตรยังคงปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันต่อไปจนกว่าจะถึงการประชุมกำหนดนโยบายการผลิตในวันที่ 25-26 มิ.ย.
บริษัทสไตเฟล ซึ่งเป็นบริษัทบริหารความมั่งคั่งและวาณิชธนกิจทั่วโลก เปิดเผยรายงานล่าสุด ระบุว่า ตลาดน้ำมันดิบมีแนวโน้มตึงตัวในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ซึ่งจะเพิ่มโอกาสสำหรับนักลงทุน