สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (9 พ.ค.) เนื่องจากความกังวลที่ว่า การทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนจะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก และทำให้ความต้องการใช้น้ำมันลดน้อยลงด้วย
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมิ.ย. ลดลง 42 เซนต์ หรือ 0.7% ปิดที่ 61.70 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.ค. เพิ่มขึ้น 2 เซนต์ หรือ 0.03% ปิดที่ 70.39 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมัน WTI ได้รับแรงกดดันหลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขู่ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์ สู่ระดับ 25% โดยจะมีผลตั้งแต่ช่วงเที่ยงคืนวันศุกร์ตามเวลาสหรัฐ จากเดิมที่ระดับ 10% รวมทั้งจะมีการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนวงเงิน 3.25 แสนล้านดอลลาร์ในอัตรา 25% ในไม่ช้า
ปธน.ทรัมป์กล่าวว่า จีนไม่ยอมทำตามข้อตกลงที่เคยให้ไว้ในระหว่างการเจรจาการค้าร่วมกับสหรัฐ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้สหรัฐประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน
ขณะที่นายเกา เฟิง โฆษกกระทรวงพาณิชย์จีน กล่าวว่า จีนพร้อมรับมือความเป็นไปได้ทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นจากการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีน และจีนพร้อมตอบโต้สหรัฐ หากมีการขึ้นภาษีนำเข้าต่อสินค้าจีน
อย่างไรก็ดี ราคาน้ำมันยังคงได้แรงหนุนรายงานของสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ซึ่งระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐลดลง 4 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 3 พ.ค. ซึ่งสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.2 ล้านบาร์เรล
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยหนุนจากการที่ปธน.ทรัมป์ประกาศคว่ำบาตรอุตสาหกรรมเหล็ก เหล็กกล้า อลูมิเนียม และทองแดงของอิหร่าน เพื่อกดดันให้อิหร่านยุติการพัฒนานิวเคลียร์ โดยอุตสาหกรรมโลหะถือเป็นหนึ่งในแหล่งรายได้ที่สำคัญของอิหร่าน ซึ่งนับจนถึงขณะนี้ สหรัฐได้ดำเนินการคว่ำบาตรการส่งออกสินค้าของอิหร่านทั้งหมด 3 ประเภท ซึ่งได้แก่ น้ำมัน ปิโตรเคมี และโลหะ