สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงต่อเนื่องเมื่อคืนนี้ (31 พ.ค.) เนื่องจากราคาน้ำมันถูกกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและประเทศคู่ค้า ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก และความต้องการใช้น้ำมัน
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ค. ดิ่งลง 3.09 ดอลลาร์ หรือ 5.5% ปิดที่ 53.50 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.ค. ร่วงลง 2.38 ดอลลาร์ หรือ 3.6% ปิดที่ 64.49 ดอลลาร์/บาร์เรล
ในรอบสัปดาห์นี้ ราคาน้ำมันดิบ WTI ร่วงลงเกือบ 8.75% และ ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ ร่วงลงมากกว่า 6%
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าทั้งหมดจากเม็กซิโกในอัตรา 5% ซึ่งจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 มิ.ย.นี้ โดยมีเป้าหมายที่จะกดดันให้รัฐบาลเม็กซิโกสกัดการหลั่งไหลของผู้อพยพผิดกฎหมายที่ข้ามพรมแดนเข้าสู่สหรัฐ
ทั้งนี้ เม็กซิโกเป็นหนึ่งในประเทศคู่ค้าและผู้จำหน่ายน้ำมันดิบรายใหญ่ของสหรัฐ
ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า การเก็บภาษีดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อการซื้อขายพลังงานข้ามพรมแดน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะส่งผลกระทบต่อโรงกลั่นน้ำมันของสหรัฐที่ใช้น้ำมันจากเม็กซิโก
นักวิเคราะห์ของพีวีเอ็ม ออยล์ แอสโซซิเอเตส เปิดเผยว่า โรงกลั่นน้ำมันของสหรัฐนำเข้าน้ำมันดิบจากเม็กซิโกราว 680,000 บาร์เรล/วัน และการที่สหรัฐเรียกเก็บภาษีนำเข้า 5% อาจจะเพิ่มต้นทุนการซื้อน้ำมันดิบรายวันของโรงกลั่นสหรัฐอีก 2 ล้านดอลลาร์
ความตึงเครียดด้านการค้าระหว่างสหรัฐและเม็กซิโก ได้เพิ่มความวิตกเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งอาจทำให้ความต้องการพลังงานลดลง
นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังถูกกดดันจากสัญญาณการชะลอตัวของเศรษฐกิจในประเทศขนาดใหญ่
บรรดานักลงทุนจะจับตาการประชุมกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ที่กรุงเวียนนาในวันที่ 25-26 มิ.ย.นี้ เพื่อพิจารณานโยบายการผลิตน้ำมันในช่วงครึ่งปีหลัง หลังจากที่โอเปกและกลุ่มประเทศนอกโอเปก นำโดยรัสเซีย เห็นพ้องกันในการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมัน 1.2 ล้านบาร์เรล/วัน จนถึงเดือนมิ.ย.นี้ เพื่อป้องกันการทรุดตัวของราคาน้ำมัน