สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลง 1.7% เมื่อคืนนี้ (5 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่าสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนจะส่งผลกระทบต่ออุปสงค์น้ำมัน ขณะที่นักลงทุนจับตารายงานสต็อกน้ำมันดิบประจำสัปดาห์ของสหรัฐซึ่งมีกำหนดเปิดเผยในวันพรุ่งนี้
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย. ลดลง 97 เซนต์ หรือ 1.7% ปิดที่ 54.69 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนต.ค. ร่วงลง 2.08 ดอลลาร์ หรือ 3.36% ปิดที่ 59.81 ดอลลาร์/บาร์เรล
ภาวะการซื้อขายในตลาดน้ำมันนิวยอร์กได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลที่ว่า สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและฉุดอุปสงค์น้ำมัน นอกจากนี้ การดิ่งลงของค่าเงินหยวนยังเป็นปัจจัยกดดันราคาน้ำมัน เนื่องจากทำให้จีนซึ่งเป็นประเทศที่นำเข้าน้ำมันดิบรายใหญ่ที่สุดของโลกนั้น มีต้นทุนเพิ่มขึ้นในการนำเข้าน้ำมันในรูปสกุลเงินดอลลาร์
ทั้งนี้ ความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าได้จุดปะทุขึ้นอีกครั้ง หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ทวีตข้อความระบุว่า สหรัฐจะเรียกเก็บภาษีอีก 10% ต่อสินค้านำเข้าจากจีนมูลค่า 3 แสนล้านดอลลาร์ โดยมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ก.ย.
ขณะที่จีนได้ออกมาตอบโต้สหรัฐด้วยการปล่อยให้เงินหยวนทรุดตัวลงต่ำกว่าระดับ 7 หยวนต่อดอลลาร์เมื่อวานนี้ แตะที่ระดับต่ำสุดในรอบ 11 ปี นอกจากนี้ จีนได้ระงับการนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐ และจีนอาจเรียกเก็บภาษีจากสินค้าเกษตรของสหรัฐซึ่งจีนได้ซื้อมาก่อนหน้านี้
สถาบันวิจัยของแบงก์ ออฟ อเมริกา เมอร์ริล ลินช์ได้ออกรายงานเตือนว่า ราคาน้ำมันอาจดิ่งลงแตะระดับ 20 ดอลลาร์/บาร์เรล ถ้าหากจีนหันไปซื้อน้ำมันจากอิหร่าน เพื่อตอบโต้สหรัฐในการทำสงครามการค้า
"ขณะที่เรายังคงตรึงตัวเลขคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ระดับ 60 ดอลลาร์/บาร์เรลในปีหน้า แต่เราก็ยอมรับว่าหากจีนตัดสินใจซื้อน้ำมันจากอิหร่าน ก็จะส่งผลให้ราคาน้ำมันเกิดความผันผวน โดยราคาน้ำมันอาจทรุดตัวลงแตะระดับ 20-30 ดอลลาร์/บาร์เรล หากเกิดสถานการณ์ดังกล่าว" รายงานดังกล่าวระบุ
นักลงทุนจับตารายงานสต็อกน้ำมันดิบประจำสัปดาห์ โดยสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA) จะเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวในวันพรุ่งนี้ เวลา 21.30 น.ตามเวลาไทย