สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 3% เมื่อคืนนี้ (14 ส.ค.) หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA) รายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐพุ่งขึ้นติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 2 นอกจากนี้ ความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยยังเป็นอีกปัจจัยที่สร้างแรงกดดันต่อตลาดน้ำมัน
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย. ร่วงลง 1.87 ดอลลาร์ หรือ 3.3% ปิดที่ 55.23 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนต.ค. ดิ่งลง 1.82 ดอลลาร์ หรือ 3% ปิดที่ 59.48 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวลงเป็นวันแรกในรอบ 5 วันทำการ หลังจากรายงานของ EIA ระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 2 โดยปรับตัวขึ้น 1.6 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 9 ส.ค. สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่าลดลง 2.8 ล้านบาร์เรล
EIA ยังเปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันเบนซินลดลง 1.4 ล้านบาร์เรล ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลง 700,000 บาร์เรล ส่วนสต็อกน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล ลดลง 1.9 ล้านบาร์เรล ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าเพิ่มขึ้น 870,000 บาร์เรล
ขณะเดียวกันนักลงทุนมีกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) เปิดเผยว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนก.ค.ขยายตัว 4.8% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งเป็นการขยายตัวในอัตราต่ำสุดในรอบ 17 ปี ขณะที่สำนักงานสถิติแห่งชาติเยอรมนีเปิดเผยว่า GDP ไตรมาส 2 หดตัวลง 0.1% เมื่อเทียบเป็นรายไตรมาส ซึ่งเป็นการหดตัวครั้งแรกนับตั้งแต่ไตรมาส 3 ของปี 2561
นอกจากนี้ การที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเกิดภาวะ inverted yield curve เมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นภาวะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นอยู่สูงกว่าพันธบัตรระยะยาว ก็ได้บ่งชี้ถึงภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐ และเป็นอีกปัจจัยที่สร้างแรงกดดันต่อตลาดน้ำมันเช่นกัน