สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (18 ก.ย.) หลังจากสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้นสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะลดลง นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังได้รับแรงกดดันจากรายงานที่ว่า การผลิตน้ำมันของซาอุดีอาระเบียจะฟื้นตัวสู่ระดับปกติภายในสิ้นเดือนนี้
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค. ลดลง 1.23 ดอลลาร์ หรือ 2.1% ปิดที่ 58.11 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนพ.ย. ลดลง 95 เซนต์ หรือ 1.5% ปิดที่ 63.60 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบร่วงลงหลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) รายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐเพิ่มขึ้น 1.1 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 13 ก.ย. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบ 5 สัปดาห์ และสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลง 2 ล้านบาร์เรล
ทางด้านสถาบันปิโตรเลียมอเมริกา (API) ซึ่งเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมน้ำมันของสหรัฐ เปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้น 592,000 บาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว
EIA ยังเปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 800,000 บาร์เรล สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่าลดลง 800,000 บาร์เรล และสต็อกน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล เพิ่มขึ้น 400,000 บาร์เรล ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าเพิ่มขึ้น 300,000 บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบยังได้รับแรงกดดันหลังจากเจ้าชายอับดูลาซิซ บิน ซัลมาน รัฐมนตรีพลังงานของซาอุดีอาระเบีย เปิดเผยว่า การผลิตน้ำมันของซาอุดีอาระเบียจะฟื้นตัวสู่ระดับปกติภายในสิ้นเดือนนี้ โดยใช้เวลาเพียง 2-3 สัปดาห์ ซึ่งน้อยกว่าที่มีการคาดการณ์ว่าจะต้องใช้เวลานานหลายเดือน
นอกจากนี้ การที่สถานการณ์ระหว่างสหรัฐและอิหร่านมีความตึงเครียดน้อยลงนั้น ยังเป็นอีกปัจจัยที่ฉุดราคาน้ำมันลงด้วย โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้สั่งการให้กระทรวงการคลังสหรัฐเพิ่มการคว่ำบาตรต่ออิหร่าน แทนการใช้กำลังทางทหาร
ปธน.ทรัมป์กล่าวก่อนหน้านี้ว่า เขาไม่ต้องการทำสงครามกับอิหร่าน แม้ว่าสหรัฐกล่าวหาอิหร่านว่าอยู่เบื้องหลังการโจมตีซาอุดีอาระเบีย ส่งผลให้นักลงทุนคลายวิตกเกี่ยวกับความตึงเครียดในตะวันออกกลาง