สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (23 ก.ย.) โดยได้ปัจจัยหนุนจากสถานการณ์ในตะวันออกกลางที่ยังคงตึงเครียด หลังจากสหรัฐประกาศเพิ่มกองกำลังทหารเข้าประจำการในอ่าวเปอร์เซีย ภายหลังจากเกิดเหตุโจมตีโรงงานน้ำมันในซาอุดีอาระเบีย
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 55 เซนต์ หรือ 1% ปิดที่ 58.64 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 49 เซนต์ หรือ 0.8% ปิดที่ 64.77 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบดีดตัวขึ้นหลังจาก-นายมาร์ค เอสเปอร์ รมว.กลาโหมของสหรัฐเปิดเผยว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้อนุมัติการส่งกองกำลังสหรัฐจำนวนมากขึ้นไปยังอ่าวเปอร์เซีย ซึ่งเป็น "การป้องกันตามปกติ" ตามคำเรียกร้องของซาอุดีอาระเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) หลังจากที่มีการโจมตีโรงงานผลิตน้ำมันของซาอุดีอาระเบียในช่วงที่ผ่านมา
ถ้อยแถลงของรมว.กลาโหมสหรัฐมีขึ้นหลังจากโรงงานผลิตน้ำมันของซาอุดิอาระเบียได้ถูกโดรนโจมตีเมื่อวันที่ 14 ก.ย.ที่ผ่านมา โดยสหรัฐได้กล่าวหาว่าเป็นฝีมือของอิหร่าน ขณะที่อิหร่านปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม สัญญาน้ำมันดิบได้รับแรงกดดันในระหว่างวัน หลังจากสื่อต่างประเทศรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า ซาอุดีอาระเบียสามารถฟื้นฟูการผลิตน้ำมันได้ราว 75% หลังจากแหล่งผลิตน้ำมันถูกโจมตีในวันที่ 14 ก.ย.
นอกจากนี้ นักลงทุนยังกังวลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก หลังการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจยุโรปที่ซบเซา โดยไอเอชเอส มาร์กิต เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและบริการเบื้องต้นของยูโรโซน ปรับตัวลงสู่ระดับ 50.4 ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 75 เดือน จากระดับ 51.9 ในเดือนส.ค. โดยถูกกดดันจากการชะลอตัวลงของการจ้างงานและทิศทางราคา ประกอบกับภาคธุรกิจมีความเชื่อมั่นลดลง
นักลงทุนจับตาตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบประจำสัปดาห์ของสหรัฐ โดยสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA) จะเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวในเวลา 21.30 น.ตามเวลาไทยในวันนี้