สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (25 ก.ย.) หลังจากสหรัฐเปิดเผยตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 2 นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังปรับตัวลงจากรายงานที่ว่า การผลิตน้ำมันในซาอุดีอาระเบียฟื้นตัวรวดเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย. ลดลง 80 เซนต์ หรือ 1.4% ปิดที่ 56.49 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนพ.ย. ลดลง 71 เซนต์ หรือ 1.1% ปิดที่ 62.39 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบปรับตัวลงหลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐเพิ่มขึ้น 2.4 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 20 ก.ย. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นติดต่อกันสัปดาห์ที่ 2 และยังสวนทางกับนักวิเคราะห์ที่คาดว่าจะลดลง 190,000 บาร์เรล
ทางด้านสถาบันปิโตรเลียมอเมริกา (API) ซึ่งเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมน้ำมันของสหรัฐ เปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้น 1.4 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 20 ก.ย.
รายงานของ EIA ยังเปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 500,000 บาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 300,000 บาร์เรล ส่วนสต็อกน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล ลดลง 3 ล้านบาร์เรล ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 600,000 บาร์เรล
นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังได้รับแรงกดดันจากการฟื้นฟูกำลังการผลิตน้ำมันของซาอุดีอาระเบีย หลังถูกโจมตีก่อนหน้านี้ โดยขณะนี้ ซาอุดีอาระเบียสามารถผลิตน้ำมัน 11.3 ล้านบาร์เรล/วัน ซึ่งเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้
นักลงทุนจับตาสถานการณ์การเมืองในสหรัฐ หลังจากนางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ ประกาศเริ่มกระบวนการไต่สวนเพื่อถอดถอนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ออกจากตำแหน่ง หลังจากมีรายงานว่า ปธน.ทรัมป์ได้พูดคุยทางโทรศัพท์กับผู้นำยูเครน เพื่อกดดันให้มีการสอบสวนนายโจ ไบเดน ซึ่งเป็นคู่แข่งคนสำคัญของปธน.ทรัมป์ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสมัยหน้า โดยการกระทำดังกล่าวของปธน.ทรัมป์ถูกมองว่าเป็นการเปิดทางให้รัฐบาลต่างชาติเข้ามาแทรกแซงการเลือกตั้งในสหรัฐ