สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (17 ต.ค.) หลังจากรายงานระบุว่า สต็อกน้ำมันเบนซินและน้ำมันกลั่นของสหรัฐปรับตัวลงมากกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ นอกจากนี้ ตลาดน้ำมันยังได้รับปัจจัยหนุนจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ รวมทั้งการบรรลุข้อตกลง Brexit ระหว่างอังกฤษและสหภาพยุโรป (EU)
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 57 เซนต์ หรือ 1.1% ปิดที่ 53.93 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 49 เซนต์ หรือ 0.8% ปิดที่ 59.91 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ดีดตัวขึ้นหลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันเบนซินลดลง 2.6 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 11 ต.ค. มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะลดลงเพียง 1.8 ล้านบาร์เรล ขณะที่สต็อกน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล ลดลง 3.8 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 2.6 ล้านบาร์เรล
อย่างไรก็ดี รายงานของ EIA ระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐพุ่งขึ้น 9.3 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 11 ต.ค. ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 5 ติดต่อกัน และมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 4 ล้านบาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบยังได้รับแรงหนุนจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ โดยดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง จะเพิ่มความน่าดึงดูดของสัญญาน้ำมัน เนื่องจากทำให้สัญญามีราคาถูกลงสำหรับผู้ถือครองเงินสกุลอื่น
นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังได้รับปัจจัยหนุนจากการที่นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ Brexit หลังจากที่สหราชอาณาจักรและสหภาพยุโรปบรรลุข้อตกลงใหม่ โดยทั้งนายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ และนายฌอง-คล้อด ยุงเกอร์ ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ต่างทวีตข้อความยืนยันว่าทั้งสองฝ่ายได้บรรลุข้อตกลงร่วมกันแล้ว
นักลงทุนจับตาการประชุมกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ในวันที่ 5-6 ธ.ค.นี้ที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย โดยในการประชุมครั้งนี้ ชาติสมาชิกโอเปกจะกำหนดนโยบายการผลิตน้ำมันสำหรับปี 2563