สัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้า WTI พลิกปรับตัวลงในวันนี้ หลังการเปิดเผยสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐพุ่งขึ้นเกินคาดในสัปดาห์ที่แล้ว
ณ เวลา 23.09 น.ตามเวลาไทย สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ส่งมอบเดือนธ.ค. ซึ่งมีการซื้อขายที่ตลาด NYMEX ลบ 2 เซนต์ หรือ 0.03% สู่ระดับ 57.21 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากดีดตัวขึ้นในช่วงแรก
สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐพุ่งขึ้น 7.9 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าเพิ่มขึ้น 1.5 ล้านบาร์เรล
EIA ระบุว่า การพุ่งขึ้นของสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเกิดจากการที่โรงกลั่นลดกำลังการผลิตน้ำมัน
นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังถูกกดดันจากการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจที่อ่อนแอของยูโรโซน
นักวิเคราะห์ระบุว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจยูโรโซนมีความเสี่ยงที่จะเผชิญกับภาวะหดตัวในไตรมาส 4
ทั้งนี้ ไอเอชเอส มาร์กิต ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการข้อมูลทางการเงิน เปิดเผยว่า ดัชนี PMI รวมภาคการผลิตและบริการขั้นสุดท้ายของยูโรโซน ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 50.6 ในเดือนต.ค. และสูงกว่าตัวเลขเบื้องต้นที่ระดับ 50.2 จากระดับ 50.1 ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบกว่า 6 ปี
ถึงแม้ดัชนี PMI ปรับตัวขึ้นในเดือนต.ค. แต่ก็ใกล้หลุดระดับ 50 ซึ่งจะบ่งชี้ภาวะหดตัว
"แม้ดัชนี PMI ปรับตัวขึ้นจากตัวเลขเบื้องต้น แต่ดัชนีก็บ่งชี้ถึงภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวในช่วงเริ่มต้นไตรมาส 4 โดยเราคาดการณ์ว่าการขยายตัวจะชะลอตัวลงในวงกว้าง" นางเมลานี เดโบโน นักวิเคราะห์จากแคปิตัล อิโคโนมิคส์ กล่าว
ไอเอชเอส มาร์กิตระบุว่า ดัชนี PMI สอดคล้องกับการขยายตัวรายไตรมาสที่ระดับ 0.1% แต่มีความเสี่ยงที่เศรษฐกิจยูโรโซนจะหดตัวลงในไตรมาส 4
นอกจากนี้ ภาคบริการของเยอรมนี ซึ่งเป็นประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดในยูโรโซน มีการขยายตัวเพียงเล็กน้อยในเดือนต.ค. ขณะที่ภาคบริการของสเปนมีการขยายตัวต่ำสุดในรอบ 13 เดือน
ขณะเดียวกัน ภาคการผลิตของยูโรโซนหดตัวลงในเดือนต.ค. โดยถูกกระทบจากการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน รวมทั้งความไม่แน่นอนของการแยกตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit)