สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (6 พ.ย.) หลังจากสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐพุ่งขึ้นเกือบ 8 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปทานน้ำมันล้นตลาด ขณะที่นักลงทุนจับตาความเคลื่อนไหวของบรรดาเจ้าหน้าที่กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ก่อนที่การประชุมโอเปกและชาติพันธมิตรจะเปิดฉากขึ้นในเดือนหน้า
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 88 เซนต์ หรือ 1.5% ปิดที่ 56.35 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนม.ค. ร่วงลง 1.22 ดอลลาร์ หรือ 1.9% ปิดที่ 61.74 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบร่วงลงหลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) รายงานเมื่อคืนนี้ว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐพุ่งขึ้น 7.9 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 1 พ.ย. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 1.5 ล้านบาร์เรล โดย EIA ระบุว่า การพุ่งขึ้นของสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเกิดจากการที่โรงกลั่นลดกำลังการผลิตน้ำมัน
ส่วนสต็อกน้ำมันดิบที่เมืองคูชิง รัฐโอกลาโฮมา ซึ่งเป็นจุดส่งมอบสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้าของสหรัฐ เพิ่มขึ้น 1.7 ล้านบาร์เรล
ทางด้านสถาบันปิโตรเลียมอเมริกา (API) รายงานก่อนหน้านี้ว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐเพิ่มขึ้น 4.26 ล้านบาร์เรล ในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 1 พ.ย.
นักวิเคราะห์จากบริษัทไทเช แคปิตอล แอดไวเซอร์ส กล่าวว่า การพุ่งขึ้นของสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐส่งผลให้นักลงทุนกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปทานน้ำมันและสร้างแรงกดดันต่อราคาน้ำมัน นอกจากนี้ นักลงทุนยังระมัดระวังการซื้อขายและจับตาเหตุการณ์สำคัญ ซึ่งรวมถึงการประชุมโอเปกและชาติพันธมิตรของโอเปกในวันที่ 5-6 ธ.ค. และทิศทางการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีน
สำหรับสถานการณ์การค้าระหว่างสหรัฐและจีนนั้น สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานโดยอ้างการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐรายหนึ่งว่า การพบปะกันระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน เพื่อลงนามในข้อตกลงการค้าเฟสแรก อาจมีการเลื่อนออกไปเป็นเดือนธ.ค. จากเดิมที่มีกำหนดในเดือนนี้ เนื่องจากทั้งสองฝ่ายยังคงต้องเจรจาการค้ากันต่อไป รวมทั้งหารือกันเกี่ยวกับการหาสถานที่ในการลงนามข้อตกลง