สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (14 พ.ย.) หลังจากสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐพุ่งขึ้นติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 3 ซึ่งส่งผลให้นักลงทุนกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปทานน้ำมันล้นตลาด นอกจากนี้ ข้อมูลการผลิตภาคอุตสาหกรรมของจีนที่ขยายตัวต่ำกว่าคาด ยังทำให้ตลาดวิตกกังวลเกี่ยวกับความต้องการใช้น้ำมันของจีน
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 35 เซนต์ หรือ 0.6% ปิดที่ 56.77 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนม.ค. ลดลง 9 เซนต์ หรือ 0.1% ปิดที่ 62.28 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบปิดลดลงหลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยเมื่อคืนนี้ว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้น 2.2 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 8 พ.ย. ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าเพิ่มขึ้น 1 ล้านบาร์เรล และทำสถิติเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 3
รายงานของ EIA ยังระบุว่า สต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 1.9 ล้านบาร์เรล สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลง 1.7 ล้านบาร์เรล ส่วนน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล ลดลง 2.5 ล้านบาร์เรล มากกว่านักวิเคราะห์คาดว่าลดลง 1.6 ล้านบาร์เรล
ทางด้านสถาบันปิโตรเลียมอเมริกา (API) ซึ่งเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมน้ำมันของสหรัฐ เปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง 541,000 บาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว
นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบปรับตัวลงหลังจากสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) รายงานเมื่อวานนี้ว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนต.ค.ปรับตัวขึ้น 4.7% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะขยายตัว 5.4% และชะลอตัวลงจากเดือนก.ย.ที่มีการขยายตัว 5.8%
สำหรับความเคลื่อนไหวอื่นๆที่มีผลต่อภาวะการซื้อขายในตลาดน้ำมันเมื่อคืนนี้ กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ออกรายงานภาวะตลาดน้ำมันประจำเดือนพ.ย. โดยระบุว่า อุปสงค์น้ำมันของโอเปกจะลดลงในปีหน้า โดยอยู่ที่ระดับเฉลี่ย 29.58 ล้านบาร์เรล/วัน ลดลง 1.12 ล้านบาร์เรล/วันเมื่อเทียบกับปีนี้
ทั้งนี้ คาดว่าการลดลงของอุปสงค์ดังกล่าวจะส่งผลให้โอเปกและประเทศพันธมิตรจะยังคงเดินหน้าปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันในการประชุมกำหนดนโยบายการผลิตในวันที่ 5-6 ธ.ค.นี้ ที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย