สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (3 ม.ค.) โดยได้แรงหนุนจากความกังวลที่ว่าสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางหลังสหรัฐสังหารนายพลอิหร่าน อาจส่งผลกระทบกับการผลิตน้ำมันในตะวันออกกลาง และส่งผลกระทบกับปริมาณน้ำมันในตลาดโลก
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.พ. พุ่งขึ้น 1.87 ดอลลาร์ หรือ 3.1% ปิดที่ 63.05 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนมี.ค. พุ่งขึ้น 2.35 ดอลลาร์ หรือ 3.6% ปิดที่ 68.60 ดอลลาร์/บาร์เรล
ในรอบสัปดาห์นี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวขึ้น 2.2% และสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ เพิ่มขึ้น 2.6%
ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง หลังสหรัฐได้ใช้ปฎิบัติการโจมตีทางอากาศที่ท่าอากาศยานนานาชาติกรุงแบกแดดของอิรักในช่วงเช้าวันศุกร์ ส่งผลให้นายพลกัสซิม โซเลมานี ผู้บัญชาการกองกำลัง Quds Force ของอิหร่าน และนายอาบู มาห์ดี อัล-มูฮันดิส รองผู้นำกองกำลังฮาชด์ชาบี (Hashd Shaabi) ของอิรัก เสียชีวิต
ทางด้านอยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดอิหร่าน ประกาศพร้อมตอบโต้สหรัฐ ขณะที่นายอาเดล อับดุล มาห์ดี รักษาการนายกรัฐมนตรีอิรัก กล่าวประณามการโจมตีดังกล่าว โดยมองว่าเป็นการแสดงความก้าวร้าวกับรัฐบาลและชาวอิรัก
บรรดาเทรดเดอร์วิตกว่า ความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นในตะวันออกกลางอาจส่งผลกระทบกับการผลิตน้ำมัน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 1 ใน 3 ของปริมาณน้ำมันทั่วโลก
นอกจากนี้ ราคาน้ำมันดิบยังได้แรงหนุนจากรายงานสต็อกน้ำมันสหรัฐที่ลดลงเกินคาดด้วย โดยสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยในวันศุกร์ว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง 11.46 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่นักวิเคราะห์คาดไว้ว่า อาจลดลงเพียง 5.5 ล้านบาร์เรล