สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงหลุดจากระดับ 60 ดอลลาร์/บาร์เรลเมื่อคืนนี้ (8 ม.ค.) เนื่องจากสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางเริ่มส่งสัญญาณคลี่หลาย หลังจากถ้อยแถลงของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เมื่อวานนี้ ไม่ได้ระบุถึงการใช้ปฏิบัติการทางทหารเพื่อตอบโต้อิหร่านที่ยิงขีปนาวุธถล่มฐานทัพสหรัฐในอิรัก แต่จะใช้วิธีการคว่ำบาตทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังร่วงลงหลังจากสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐพุ่งขึ้น สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.พ. ร่วงลง 3.09 ดอลลาร์ หรือ 4.9% ปิดที่ 59.61 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 12 ธ.ค. 2562
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนมี.ค. ลดลง 2.83 ดอลลาร์ หรือ 4.2% ปิดที่ 65.44 ดอลลาร์/บาร์เรล
นักลงทุนเทขายสัญญาน้ำมันดิบ เนื่องจากสถานการณ์ในตะวันออกกลางเริ่มส่งสัญญาณคลี่คลาย หลังจากปธน.ทรัมป์กล่าวแถลงการณ์ต่อชาวอเมริกันเมื่อวานนี้ โดยยืนยันว่า ไม่มีชาวอเมริกันที่เสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บจากการที่อิหร่านใช้ขีปนาวุธโจมตีฐานทัพสหรัฐในอิรักเมื่อวานนี้ ขณะเดียวกันปธน.ทรัมป์ไม่ได้ระบุถึงการใช้ปฏิบัติการทางทหารเพื่อตอบโต้อิหร่าน แต่จะใช้วิธีการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจเพิ่มเติม
แหล่งข่าวจากรัฐบาลสหรัฐและยุโรประบุว่า อิหร่านจงใจยิงขีปนาวุธพลาดเป้า ในการโจมตีฐานทัพสหรัฐในอิรักเมื่อวานนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงวิกฤตการณ์ที่จะเกิดขึ้นจนควบคุมไม่ได้ แม้อิหร่านยังคงส่งสัญญาณความพร้อมที่จะตอบโต้สหรัฐที่ได้สังหารนายพลกัสซิม โซเลมานี ผู้บัญชาการกองกำลังคุดส์ของอิหร่าน
นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังร่วงลงหลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้น 1.2 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 3 ม.ค. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 3.7 ล้านบาร์เรล
รายงานของ EIA ยังระบุว่า สต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 9.1 ล้านบาร์เรล ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าเพิ่มขึ้น 4.5 ล้านบาร์เรล ส่วนสต็อกน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล เพิ่มขึ้น 5.3 ล้านบาร์เรล ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าเพิ่มขึ้น 5.0 ล้านบาร์เรล