สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบติดต่อกันเป็นวันที่ 4 เมื่อคืนนี้ (10 ม.ค.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงขายสัญญาน้ำมันออกมาหลังคลายความวิตกเกี่ยวกับสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อปริมาณน้ำมันทั่วโลก นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังถูกกดดันจากการเปิดเผยตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐที่พุ่งขึ้นสวนทางกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.พ. ลดลง 52 เซนต์ หรือ 0.9% ปิดที่ 59.04 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนมี.ค. ลดลง 39 เซนต์ หรือ 0.6% ปิดที่ 64.98 ดอลลาร์/บาร์เรล
ในรอบสัปดาห์นี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ร่วงลง 6.4% และสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ ร่วงลง 5.3%
ตลาดน้ำมันปรับตัวลง เนื่องจากนักลงทุนขายสัญญาน้ำมันออกมาหลังคลายความวิตกเกี่ยวกับสถานการณ์ในตะวันออกกลาง ขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐไม่ได้ระบุถึงการใช้ปฏิบัติการทางทหารเพื่อตอบโต้อิหร่านที่ยิงขีปนาวุธถล่มฐานทัพสหรัฐในอิรัก แต่จะใช้วิธีคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจแทน
นายไมค์ ปอมเปโอ รมว.ต่างประเทศสหรัฐ และนายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐ แถลงว่า สหรัฐจะทำการคว่ำบาตรครั้งใหม่กับการส่งออกโลหะของอิหร่าน และกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของอิหร่าน
สัญญาน้ำมันดิบยังถูกถ่วงลงจากการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่ซบเซาของสหรัฐซึ่งอาจกระทบต่อความต้องการใช้น้ำมัน โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นเพียง 145,000 ตำแหน่งในเดือนธ.ค. ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 160,000 ตำแหน่ง ส่วนอัตราการว่างงานทรงตัวที่ระดับ 3.5% ในเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 50 ปี นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังคงถูกกดดันจากรายงานของสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ซึ่งระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐเพิ่มขึ้น 1.2 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 3 ม.ค. สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดไว้ว่า อาจจะลดลง 3.7 ล้านบาร์เรล