สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกเพียงเล็กน้อยเมื่อคืนนี้ (17 ม.ค.) และปรับตัวลงเป็นสัปดาห์ที่ 2 ติดต่อกัน เนื่องจากบรรดาเทรดเดอร์ยังคงวิตกเกี่ยวกับความต้องการพลังงาน หลังสหรัฐ-จีนลงนามข้อตกลงการค้าเฟสแรกเมื่อวันพุธที่ผ่านมา และวุฒิสภาสหรัฐอนุมัติข้อตกลงการค้าสหรัฐ-เม็กซิโก-แคนาดาในสัปดาห์นี้
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 2 เซนต์ หรือ 0.03% ปิดที่ 58.54 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนมี.ค. เพิ่มขึ้น 23 เซนต์ หรือ 0.4% ปิดที่ 64.85 ดอลลาร์/บาร์เรล
อย่างไรก็ตาม ตลอดทั้งสัปดาห์นี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ลดลงเกือบ 0.9% และสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ ลดลงราว 0.2% โดยลดลงเป็นสัปดาห์ที่ 2 ติดต่อกัน
ราคาน้ำมันปรับตัวลงระหว่างวัน โดยถูกกดดันหลังเบเกอร์ ฮิวจ์ ซึ่งเป็นผู้ให้บริการขุดเจาะน้ำมันของสหรัฐเปิดเผยว่า แท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐที่มีการใช้งาน มีจำนวนเพิ่มขึ้น 14 แท่น สู่ระดับ 673 แท่นในสัปดาห์นี้ หลังจากลดลง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ตลาดน้ำมันยังถูกกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับความต้องการน้ำมัน เนื่องจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจอ่อนแอลง
ยูบีเอสเปิดเผยในวันศุกร์ว่า ความต้องการน้ำมันทั่วโลกจะเพิ่มขึ้น 1 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2563 เมื่อเทียบกับ 900,000 บาร์เรลต่อวันในปี 2562 แต่ต่ำกว่าระดับเฉลี่ยที่ 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวันในช่วงปี 2543-2560
สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) เปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ขยายตัว 6.1% ในปีที่แล้ว ซึ่งแม้สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ แต่ก็อยู่ในระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 30 ปี
ขณะเดียวกัน สำนักงานพลังงานสากล (IEA) คาดการณ์ว่า กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) จะผลิตน้ำมันมากกว่าความต้องการในตลาด
นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังเผชิญปัจจัยลบจากการที่กลุ่มโอเปกปรับลดคาดการณ์ความต้องการน้ำมันของโอเปกในปีนี้ โดยคู่แข่งของโอเปกสามารถชิงส่วนแบ่งตลาดได้มากขึ้น ขณะที่สหรัฐผลิตน้ำมันในปริมาณที่สูงเป็นประวัติการณ์