สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 24% เมื่อคืนนี้ (9 มี.ค.) หลังจากกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และพันธมิตรที่นำโดยรัสเซีย ประสบความล้มเหลวในการทำข้อตกลงปรับลดการผลิตน้ำมันในการประชุมที่กรุงเวียนนาเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ส่งผลให้ซาอุดีอาระเบียเปิดฉากทำสงครามราคาน้ำมัน ด้วยการประกาศลดราคาขายน้ำมันอย่างเป็นทางการ (OSP)
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนเม.ย. ร่วงลง 10.15 ดอลลาร์ หรือ 24.6% ปิดที่ 31.13 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนพ.ค. ดิ่งลง 10.91 ดอลลาร์ หรือ 24.1% ปิดที่ 34.36 ดอลลาร์/บาร์เรล
ราคาน้ำมันทรุดตัวลงจากรายงานที่ว่า ซาอุดีอาระเบียวางแผนปรับเพิ่มการผลิตน้ำมันกว่า 10 ล้านบาร์เรล/วันในเดือนเม.ย. หลังจากโอเปกและพันธมิตรที่นำโดยรัสเซีย ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงปรับลดกำลังการผลิตน้ำมัน โดยโอเปกได้เสนอให้ปรับลดการผลิตน้ำมันลงอีก 1.5 ล้านบาร์เรล/วันนับตั้งแต่ต้นเดือนเม.ย.ไปจนถึงสิ้นปีนี้ แต่รัสเซียแสดงท่าทีไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอดังกล่าว โดยยืนยันจุดยืนเดิมที่ต้องการให้ประเทศผู้ผลิตน้ำมันปรับลดกำลังการผลิตตามโควตาเดิมในขณะนี้ต่อไปจนถึงสิ้นสุดไตรมาส 2
ทางด้านอารามโค ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันของรัฐบาลซาอุดีอาระเบีย ได้ปรับลดราคา OSP สำหรับน้ำมันดิบทุกเกรดที่ส่งมอบให้กับลูกค้าทุกประเทศ
นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังถูกกดดันจากความวิตกที่ว่า การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จะกระทบต่ออุปสงค์น้ำมัน
สำนักงานพลังงานสากล (IEA) ได้ปรับลดคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันโลกประจำปีนี้ลงเกือบ 1 ล้านบาร์เรล/วัน อันเนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งการปรับลดคาดการณ์ครั้งนี้ ยังเป็นการปรับลดลงครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2552
ทางด้านโกลด์แมน แซคส์คาดการณ์ว่า ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มร่วงลงแตะระดับ 20 ดอลลาร์/บาร์เรล เนื่องจากผลกระทบของไวรัสโควิด-19 ที่แพร่ระบาดทั่วโลก และจากการที่ซาอุดีอาระเบียประกาศลดราคา OSP ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณเริ่มต้นของการทำสงครามราคาน้ำมัน หลังจากกลุ่มโอเปกและพันธมิตรคว้าน้ำเหลวในการทำข้อตกลงลดการผลิตน้ำมัน