สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (11 มี.ค.) หลังจากสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐเพิ่มขึ้นมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากการที่ซาอุดีอาระเบียประกาศแผนเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 10 ปี
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนเม.ย. ร่วงลง 1.38 ดอลลาร์ หรือ 4% ปิดที่ 32.98 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนพ.ค. ลดลง 1.43 ดอลลาร์ หรือ 3.8% ปิดที่ 35.79 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบร่วงลงหลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้น 7.7 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 6 มี.ค. ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 2.5 ล้านบาร์เรล และเป็นการเพิ่มขึ้นติดต่อกันยาวนานถึง 7 สัปดาห์
รายงานของ EIA ยังระบุว่า สต็อกน้ำมันเบนซินลดลง 5 ล้านบาร์เรล ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 2.7 ล้านบาร์เรล ส่วนสต็อกน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล ลดลง 6.4 ล้านบาร์เรล ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 2.7 ล้านบาร์เรล
ทางด้านสถาบันปิโตรเลียมอเมริกา (API) ซึ่งเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมน้ำมันของสหรัฐ เปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้น 6.4 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 6 มี.ค.
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันหลังจากรัฐบาลซาอุดีอาระเบียมีคำสั่งให้บริษัทซาอุดี อารามโค ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันของรัฐบาลซาอุดีอาระเบีย เพิ่มกำลังการผลิตสู่ระดับ 13 ล้านบาร์เรล/วัน จากเดิมที่ 12 ล้านบาร์เรล/วัน
ทางด้านซาอุดี อารามโคระบุว่า บริษัทจะเพิ่มกำลังการผลิตสู่ระดับ 12.3 ล้านบาร์เรล/วันในเดือนเม.ย.
ก่อนหน้านี้ ซาอุดีอาระเบียผลิตน้ำมันราว 9.7 ล้านบาร์เรล/วันในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ภายใต้ข้อตกลงลดกำลังการผลิตที่ทำไว้กับกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก)