สัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้า WTI พลิกร่วงลงเกือบ 6% หลุดระดับ 24 ดอลลาร์ ขณะที่นักลงทุนพากันขายทำกำไร หลังจากที่ราคาพุ่งขึ้นในช่วงแรก
ณ เวลา 21.00 น.ตามเวลาไทย สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ส่งมอบเดือนเม.ย. ซึ่งมีการซื้อขายที่ตลาด NYMEX ลดลง 1.44 ดอลลาร์ หรือ 5.71% สู่ระดับ 23.78 ดอลลาร์/บาร์เรล
ราคาน้ำมัน WTI พุ่งขึ้นกว่า 7% ทะลุระดับ 27 ดอลลาร์ในช่วงแรก หลังสหรัฐเปิดเผยว่าจะเข้าซื้อน้ำมันจำนวน 30 ล้านบาร์เรลเพื่อกักเก็บในคลังสำรองทางยุทธศาสตร์ (SPR) และการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ระบุว่า เขาจะเข้าแทรกแซงการทำสงครามราคาน้ำมันระหว่างซาอุดีอาระเบียและรัสเซีย
กระทรวงพลังงานสหรัฐเปิดเผยว่า ทางกระทรวงฯจะเข้าซื้อน้ำมันจำนวน 30 ล้านบาร์เรลเพื่อกักเก็บใน SPR
การดำเนินการดังกล่าวเป็นหนึ่งในมาตรการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศว่าจะดำเนินการเพื่อช่วยเหลือผู้ผลิตน้ำมันสหรัฐที่ได้รับผลกระทบจากการทรุดตัวของราคาน้ำมันในระยะนี้
รัฐบาลสหรัฐจะซื้อน้ำมันดังกล่าวจากผู้ผลิตขนาดเล็กและขนาดกลาง โดยจะซื้อทั้งน้ำมันดิบแบบ sweet และ sour
ทั้งนี้ สหรัฐกักเก็บน้ำมันสำรองใน SPR ที่อยู่ในรัฐเท็กซัส และหลุยเซียนา โดย SPR จะสามารถกักเก็บน้ำมันได้อีก 77 ล้านบาร์เรล
กระทรวงฯระบุว่ากำลังประสานงานกับสภาคองเกรสในการออกกฎหมายสนับสนุนการซื้อน้ำมันดังกล่าว ซึ่งคาดว่าจะมีวงเงินราว 2 พันล้านดอลลาร์
ทางด้านปธน.ทรัมป์กล่าวว่า เขาจะเข้าแทรกแซงการทำสงครามราคาน้ำมันระหว่างซาอุดีอาระเบียและรัสเซียในเวลาที่เหมาะสม โดยราคาน้ำมันที่ลดต่ำลงเป็นเรื่องที่ดีสำหรับผู้บริโภค แต่ก็ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมน้ำมัน
นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังดีดตัวในช่วงแรกขานรับรัฐบาลสหรัฐ และธนาคารกลางทั่วโลกออกมาตรการรับมือการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รวมทั้ง
ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศความร่วมมือกับธนาคารกลางออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ บราซิล เดนมาร์ก เม็กซิโก นอร์เวย์ สวีเดน เกาหลีใต้ และสิงคโปร์ ในการทำข้อตกลงสว็อปเพื่อเพิ่มสภาพคล่องสกุลเงินดอลลาร์ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ ระบบการเงินทั่วโลกประสบปัญหาสกุลเงินดอลลาร์ตึงตัว เนื่องจากนักลงทุนแห่ซื้อดอลลาร์ ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
ทางด้านธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยฉุกเฉิน 0.15% สู่ระดับ 0.10% เมื่อวานนี้ และเพิ่มวงเงินในการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) อีก 2 แสนล้านปอนด์ สู่ระดับ 6.45 แสนล้านปอนด์ ขณะที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ประกาศโครงการใหม่ในการซื้อหลักทรัพย์ของภาคเอกชนและภาครัฐวงเงินรวม 7.50 แสนล้านยูโร โดยการดำเนินการของธนาคารกลางทั้งสองแห่งมีเป้าหมายที่จะรับมือกับความเสี่ยงต่างๆ ที่เกิดจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ลงนามในกฎหมาย "Families First Coronavirus Response Act" ซึ่งครอบคลุมถึงมาตรการแจกเงินสดแก่ชาวอเมริกันวงเงิน 5 แสนล้านดอลลาร์ และมาตรการสนับสนุนทางการเงินแก่อุตสาหกรรมการบินวงเงิน 5 หมื่นล้านดอลลาร์