สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงหลุดจากระดับ 20 ดอลลาร์/บาร์เรลเมื่อคืนนี้ (15 เม.ย.) และทำสถิติปิดที่ระดับต่ำสุดในรอบกว่า 18 ปี หลังจากสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ออกรายงานเตือนว่า วิกฤตการณ์จากแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จะส่งผลกระทบต่ออุปสงค์น้ำมันทั่วโลก นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากรายงานสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐที่พุ่งขึ้นติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 12
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ค. ลดลง 24 เซนต์ หรือ 1.2% ปิดที่ 19.87 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 7 ก.พ. 2545
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนมิ.ย. ร่วงลง 1.91 ดอลลาร์ หรือ 6.6% ปิดที่ 27.69 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบร่วงลงหลังจากสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ออกรายงานเตือนว่า วิกฤตการณ์จากแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จะส่งผลกระทบต่ออุปสงค์น้ำมันทั่วโลก ขณะที่ประเทศต่างๆพากันออกมาตรการจำกัดการเดินทางเพื่อควบคุมการระบาดของโควิด-19
IEA ระบุว่า กิจกรรมในภาคขนส่งได้ดิ่งลงอย่างหนักในเกือบทุกประเทศ จากการที่มีมาตรการล็อกดาวน์ใน 187 ประเทศทั่วโลก
"แม้มีการคาดการณ์ว่าจะมีการผ่อนคลายมาตรการจำกัดการเดินทางในช่วงครึ่งปีหลังนี้ แต่เราก็คาดว่าอุปสงค์น้ำมันทั่วโลกในปีนี้จะลดลง 9.3 ล้านบาร์เรล/วันเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งเป็นการลบล้างการขยายตัวของอุปสงค์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา" รายงาน IEA ระบุ
ทั้งนี้ IEA ยังคาดว่าอุปสงค์น้ำมันจะลดลง 2.7 ล้านบาร์เรล/วันในเดือนธ.ค. เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันหลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐพุ่งขึ้น 19.2 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 10 เม.ย. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่ที่มีการรายงานตัวเลขดังกล่าว และยังทำสถิติเพิ่มขึ้นติดต่อกัน 12 สัปดาห์ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่าสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐจะเพิ่มขึ้น 10.1 ล้านบาร์เรล
รายงานของ EIA ยังระบุว่า สต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 4.9 ล้านบาร์เรล ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าเพิ่มขึ้น 7.1 ล้านบาร์เรล ส่วนสต็อกน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล เพิ่มขึ้น 6.3 ล้านบาร์เรล ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าเพิ่มขึ้น 1.8 ล้านบาร์เรล