สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (22 เม.ย.) หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐขู่ว่าจะยิงเรือปืนของอิหร่านทุกลำ หากก่อให้เกิดอันตรายต่อเรือสหรัฐ ซึ่งความเคลื่อนไหวดังกล่าวบ่งชี้ว่าสถานการณ์ระหว่างสหรัฐและอิหร่านอาจกลับมาตึงเครียดอีกครั้ง นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังดีดตัวขึ้นขานรับรายงานการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐที่ปรับตัวลดลงในสัปดาห์ที่ผ่านมา
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมิ.ย. พุ่งขึ้น 2.21 ดอลลาร์ หรือ 19.1% ปิดที่ 13.78 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 1.04 ดอลลาร์ หรือ 5.4% ปิดที่ 20.37 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบดีดตัวขึ้น ท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างสหรัฐและอิหร่าน หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ทวีตข้อความเมื่อวานนี้ว่า เขาได้สั่งให้กองทัพเรือสหรัฐทำการยิงและทำลายเรือปืนของอิหร่านทุกลำ หากก่อให้เกิดอันตรายต่อเรือสหรัฐ
คำสั่งของปธน.ทรัมป์มีขึ้นเพียงไม่กี่วัน หลังจากที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐรายงานว่า เรือจากกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามของอิหร่าน (IRGC) ได้แสดงท่าทีที่ยั่วยุและอันตราย ขณะขับเข้าใกล้เรือยามฝั่งของสหรัฐในอ่าวเปอร์เซีย
รายงานของกองทัพเรือสหรัฐระบุว่า "ขณะที่เรือสหรัฐจำนวน 6 ลำได้ทำการฝึกซ้อมปฏิบัติการในน่านน้ำสากลเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เรืออิหร่านจำนวน 11 ลำได้ขับเข้าใกล้เรือสหรัฐด้วยความเร็วสูง"
นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังได้แรงหนุนจากรายงานของสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ซึ่งระบุว่า การผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐปรับตัวลง 100,000 บาร์เรล สู่ระดับ 12.2 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 17 เม.ย.
อย่างไรก็ดี EIA ระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้น 15 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 17 เม.ย. โดยเป็นการเพิ่มขึ้นติดต่อกัน 13 สัปดาห์ และมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 12.9 ล้านบาร์เรล
ส่วนสต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 1 ล้านบาร์เรล ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าเพิ่มขึ้น 5.7 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล เพิ่มขึ้น 7.9 ล้านบาร์เรล ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าเพิ่มขึ้น 3.7 ล้านบาร์เรล