สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดปรับตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ (15 พ.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการที่บรรดาประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ประกาศปรับลดการผลิตน้ำมันในช่วงที่ผ่านมา, การผลิตที่ลดลงในสหรัฐ และการคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันเพิ่มขึ้นหลังหลายประเทศทั่วโลกผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 1.87 ดอลลาร์ หรือ 6.8% ปิดที่ 29.43 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 13 มี.ค. และปรับตัวขึ้น 19% ในรอบสัปดาห์นี้
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.ค. เพิ่มขึ้น 1.37 ดอลลาร์ หรือ 4.4% ปิดที่ 32.50 ดอลลาร์/บาร์เรล และปรับตัวขึ้น 4.9% ในรอบสัปดาห์นี้
สัญญาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นโดยได้แรงหนุนจากการที่บรรดาผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ปรับลดการผลิตลง และมีสัญญาณการฟื้นตัวของอุปสงค์น้ำมันดิบ หลังจากทั่วโลกผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์เพื่อเปิดดำเนินการธุรกิจต่างๆ
ตลาดน้ำมันยังคงได้แรงหนุนจากการที่กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส ได้ตกลงกันที่จะลดการผลิตน้ำมันลง 9.7 ล้านบาร์เรลต่อวันในเดือนพ.ค.และมิ.ย.นี้ โดยมีเป้าหมายที่จะจัดการกับปริมาณน้ำมันส่วนเกินที่เกิดจากผลกระทบของวิกฤตโควิด-19
นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังได้แรงหนุนจากการเปิดเผยข้อมูลจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันของสหรัฐที่ลดลงด้วย โดยเบเกอร์ ฮิวจ์ ซึ่งเป็นผู้ให้บริการขุดเจาะน้ำมันของสหรัฐ เปิดเผยว่า แท่นขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในสหรัฐที่มีการใช้งาน มีจำนวนลดลง 35 แท่นในสัปดาห์นี้ สู่ระดับ 339 แท่น ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ นับตั้งแต่เริ่มมีการบันทึกข้อมูลดังกล่าวเมื่อปี 2483 หรือเมื่อ 80 ปีก่อน