สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (15 ก.ค.) โดยได้แรงหนุนจากรายงานสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐที่ปรับตัวลดลงมากกว่าคาดในสัปดาห์ที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี สัญญาน้ำมันดิบได้รับแรงกดดันในระหว่างวัน หลังจากที่ประชุมกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส มีมติผ่อนคลายข้อตกลงปรับลดกำลังการผลิตน้ำมัน โดยเห็นชอบให้ปรับลดการผลิตเพียง 7.7 ล้านบาร์เรล/วัน จากปัจจุบันที่ปรับลด 9.7 ล้านบาร์เรล/วัน
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนส.ค. เพิ่มขึ้น 91 เซนต์ หรือ 2.3% ปิดที่ 41.20 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 89 เซนต์ หรือ 2.2% ปิดที่ 43.79 ดอลลาร์/บาร์เรล
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI และสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ต่างก็ปิดที่ระดับสูงสุดในรอบ 4 เดือน หรือนับตั้งแต่วันที่ 6 มี.ค. 2563
สัญญาน้ำมันดิบดีดตัวขึ้นหลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง 7.5 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 10 ก.ค. ซึ่งมากกว่านักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงเพียง 2.1 ล้านบาร์เรล
ทางด้านสถาบันปิโตรเลียมอเมริกา (API) ซึ่งเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมน้ำมันของสหรัฐ เปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง 8.3 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 10 ก.ค.
นอกจากนี้ EIA ยังเปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันเบนซินลดลง 3.1 ล้านบาร์เรล ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลง 2 ล้านบาร์เรล ส่วนสต็อกน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล ลดลง 453,000 บาร์เรล ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าเพิ่มขึ้น 1.1 ล้านบาร์เรล
อย่างไรก็ดี สัญญาน้ำมันดิบลดช่วงบวกในระหว่างวัน หลังจากที่ประชุมโอเปกพลัสมีมติผ่อนคลายข้อตกลงปรับลดกำลังการผลิตน้ำมัน โดยเห็นชอบให้ปรับลดการผลิตเพียง 7.7 ล้านบาร์เรล/วัน จากปัจจุบันที่ปรับลด 9.7 ล้านบาร์เรล/วัน โดยมติดังกล่าวจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนส.ค.นี้ ไปจนถึงสิ้นปี 2563
การตัดสินใจดังกล่าวบ่งชี้ว่า จะมีน้ำมันดิบในปริมาณ 2 ล้านบาร์เรล/วันจากกลุ่มโอเปกพลัสไหลเข้าสู่ตลาดน้ำมันโลก โดยที่ประชุมโอเปกพลัสระบุว่า ความต้องการใช้น้ำมันเริ่มฟื้นตัวขึ้นจากการที่ประเทศต่างๆกลับมาเปิดเศรษฐกิจอีกครั้ง หลังประกาศมาตรการล็อกดาวน์ก่อนหน้านี้เพื่อสกัดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19