สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (24 ส.ค.) หลังมีรายงานว่าบริษัทน้ำมันในอ่าวเม็กซิโกพากันอพยพพนักงานออกจากแท่นขุดเจาะเพื่อเตรียมรับมือกับพายุ 2 ลูกที่จ่อถล่มอ่าวเม็กซิโก ส่งผลให้มีการระงับการผลิตน้ำมันมากกว่าครึ่งหนึ่งในพื้นที่ดังกล่าว
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค. เพิ่มขึ้น 28 เซนต์ หรือ 0.66% ปิดที่ 42.62 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนต.ค. เพิ่มขึ้น 78 เซนต์ หรือ 1.76% ปิดที่ 45.13 ดอลลาร์/บาร์เรล
สำนักงานนิรภัยและการบังคับใช้สิ่งแวดล้อมของรัฐบาลกลางสหรัฐ (Bureau of Safety and Environmental Enforcement - BSEE) ระบุว่า เฮอร์ริเคนมาร์โคและพายุโซนร้อนลอราที่กำลังเคลื่อนตัวผ่านอ่าวเม็กซิโก ได้ส่งผลให้บรรดาบริษัทน้ำมันต้องอพยพพนักงานออกจากแท่นขุดเจาะน้ำมัน 114 แท่นจากทั้งหมด 643 แท่นในบริเวณดังกล่าว และปรับลดกำลังผลิตน้ำมันรวม 57.6% หรือประมาณ 1.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน รวมทั้งลดกำลังผลิตก๊าซธรรมชาติ 44.6% หรือ 1,205 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน
ทั้งนี้ การผลิตน้ำมันในอ่าวเม็กซิโกคิดเป็นสัดส่วน 17% ของการผลิตในสหรัฐ ส่วนการผลิตก๊าซธรรมชาติคิดเป็น 5%
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศภาวะภัยพิบัติในรัฐลุยเซียนาเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา หลังจากที่ประกาศภาวะภัยพิบัติในเครือรัฐเปอร์โตริโกแล้วก่อนหน้านี้
ทางด้านนายเกร็ก แอบบอตต์ ผู้ว่าการรัฐเท็กซัส ได้ประกาศภาวะภัยพิบัติ (State Disaster) เพื่อเตือนให้ประชาชนใน 23 เขตของรัฐเท็กซัสเฝ้าระวังพายุดังกล่าวด้วย
นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังได้แรงหนุนจากข่าวที่ว่า สำนักงานอาหารและยาสหรัฐ (FDA) อนุมัติให้ใช้พลาสมาที่มีโปรตีนภูมิคุ้มกัน (convalescent plasma) ในการรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19 ซึ่งทำให้นักลงทุนมีความหวังว่า ความคืบหน้าในการรักษาโรคโควิด-19 จะเป็นปัจจัยหนุนเศรษฐกิจและความต้องการใช้น้ำมัน
นักลงทุนจับตาตัวเลขสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์ของสหรัฐ โดยสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA) มีกำหนดเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวในวันพรุ่งนี้ เวลา 21.30 น.ตามเวลาไทย