สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเกือบ 3% เมื่อคืนนี้ (2 ก.ย.) หลังมีรายงานว่าการผลิตน้ำมันในอ่าวเม็กซิโกเริ่มฟื้นตัวจากผลกระทบของพายุเฮอร์ริเคนลอรา โดยข้อมูลดังกล่าวได้บดบังปัจจัยบวกจากรายงานสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐที่ปรับตัวลงติดต่อกันหลายสัปดาห์
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค. ร่วงลง 1.25 ดอลลาร์ หรือ 2.9% ปิดที่ 41.51 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนพ.ย. ลดลง 1.15 ดอลลาร์ หรือ 2.5% ปิดที่ 44.43 ดอลลาร์/บาร์เรล
ข้อมูลล่าสุด ณ วันพุธที่ 2 ก.ย.ของสำนักงานนิรภัยและการบังคับใช้สิ่งแวดล้อมของรัฐบาลกลางสหรัฐ (Bureau of Safety and Environmental Enforcement - BSEE) ระบุว่า การผลิตน้ำมันดิบนอกชายฝั่งอ่าวเม็กซิโกลดลงราว 19.7% ซึ่งน้อยกว่าตัวเลขของวันพฤหัสบดีที่ 27 ส.ค.ซึ่งระบุว่าการผลิตน้ำมันดิบร่วงลงถึง 84% อันเนื่องมาจากอิทธิพลของพายุเฮอร์ริเคนลอรา
ข้อมูลดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า บริษัทพลังงานในอ่าวเม็กซิโกเริ่มดำเนินการผลิตอีกครั้ง หลังจากที่ก่อนหน้านี้บริษัทต่างๆได้พากันอพยพคนงานออกจากแท่นขุดเจาะน้ำมันและระงับการผลิต เนื่องจากพายุเฮอร์ริเคนลอราได้พัดถล่มอ่าวเม็กซิโก และทำให้เกิดคลื่นพายุซัดฝั่ง (Storm Surge) อย่างไรก็ดี รายงานระบุว่า สถานการณ์คลื่นพายุซัดชายฝั่งมีความรุนแรงน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ในเบื้องต้น
ทั้งนี้ สัญญาณที่บ่งชี้ถึงการฟื้นตัวของการผลิตน้ำมันในอ่าวเม็กซิโกได้บดบังปัจจัยบวกจากรายงานของสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ซึ่งระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง 9.4 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 28 ส.ค. โดยปรับตัวลงติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 6 ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลงเพียง 1.2 ล้านบาร์เรล
ส่วนสต็อกน้ำมันเบนซินลดลง 4.3 ล้านบาร์เรล ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลง 4.7 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล ลดลง 1.7 ล้านบาร์เรล ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลง 900,000 บาร์เรล
ทางด้านสถาบันปิโตรเลียมอเมริกา (API) ซึ่งเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมน้ำมันของสหรัฐ เปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง 6.4 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 28 ส.ค.