สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (7 ต.ค.) โดยได้รับแรงกดดันจากรายงานสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐที่เพิ่มขึ้นมากกว่าคาดการณ์ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่นักลงทุนจับตาความคืบหน้าในการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ของสหรัฐ รวมทั้งผลกระทบจากพายุเฮอร์ริเคน "เดลต้า" ที่มีต่อการผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในอ่าวเม็กซิโก
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย. ลดลง 72 เซนต์ หรือ 1.8% ปิดที่ 39.95 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 66 เซนต์ หรือ 1.6% ปิดที่ 41.99 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบปรับตัวลงหลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้น 501,000 บาร์เรล ในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 2 ต.ค. ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 294,000 บาร์เรล
ทางด้านสถาบันปิโตรเลียมอเมริกา (API) ซึ่งเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมน้ำมันของสหรัฐ เปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้น 951,000 บาร์เรล ในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 2 ต.ค.
รายงานของ EIA ยังเปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบที่เมืองคูชิง รัฐโอกลาโฮมา ซึ่งเป็นจุดส่งมอบสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้าของสหรัฐ เพิ่มขึ้น 470,000 บาร์เรล
ส่วนสต็อกน้ำมันเบนซินลดลง 1.4 ล้านบาร์เรล ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลง 471,000 บาร์เรล และสต็อกน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล ลดลง 962,000 บาร์เรล ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลง 995,000 บาร์เรล
นักลงทุนจับตาผลกระทบของพายุเฮอร์ริเคนเดลต้าที่คาดว่าจะพัดเข้าสู่ชายฝั่งอ่าวเม็กซิโกในสัปดาห์นี้ ขณะที่สำนักงานนิรภัยและการบังคับใช้สิ่งแวดล้อมของรัฐบาลกลางสหรัฐ (Bureau of Safety and Environmental Enforcement - BSEE) ระบุว่า ณ วันพุธที่ 7 ต.ค. บริษัทพลังงานที่ดำเนินการในอ่าวเม็กซิโกได้ระงับการผลิตน้ำมันดิบลงราว 80.42% และระงับการผลิตก๊าซธรรมชาติลง 49.26% อันเนื่องมาจากความกังวลเกี่ยวกับพายุเฮอร์ริเคนเดลต้า
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ของสหรัฐ โดยล่าสุด ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทวีตข้อความเมื่อวานนี้ว่า เขาจะลงนามในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหลายฉบับ เพื่อเยียวยาประชาชนและบางภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
นอกจากนี้ ปธน.ทรัมป์ยังเรียกร้องให้สภาคองเกรสเร่งอนุมัติมาตรการต่างๆที่เขาจะลงนาม ซึ่งได้แก่ การแจกเช็คเงินสดให้แก่ชาวอเมริกันคนละ 1,200 ดอลลาร์ รวมทั้งการอัดฉีดวงเงิน 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์เพื่อช่วยเหลืออุตสาหกรรมการบิน และวงเงิน 1.35 แสนล้านดอลลาร์สำหรับธุรกิจรายย่อย