สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (12 ต.ค.) หลังจากมีรายงานว่า บริษัทน้ำมันในอ่าวเม็กซิโกได้เริ่มกลับมาดำเนินการผลิตอีกครั้ง หลังพายุเฮอร์ริเคนเดลต้าอ่อนกำลังลง นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังร่วงลงหลังจากเหตุการณ์ประท้วงของแรงงานในอุตสาหกรรมน้ำมันของนอร์เวย์ได้ยุติลง
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย. ร่วงลง 1.17 ดอลลาร์ หรือ 2.9% ปิดที่ 39.43 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 1.13 ดอลลาร์ หรือ 2.6% ปิดที่ 41.72 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบร่วงลงหลังจากมีรายงานว่า บริษัทน้ำมันที่ดำเนินงานในอ่าวเม็กซิโก ซึ่งรวมถึงเชฟรอน และรอยัล ดัทช์ เชลล์ เริ่มให้พนักงานกลับสู่แท่นผลิตนอกชายฝั่งและเริ่มดำเนินการผลิตอีกครั้ง หลังจากพายุเฮอร์ริเคนเดลต้าอ่อนกำลังลงสู่ระดับที่ 2
สำนักงานนิรภัยและการบังคับใช้สิ่งแวดล้อมของรัฐบาลกลางสหรัฐ (Bureau of Safety and Environmental Enforcement - BSEE) ระบุว่า ณ วันจันทร์ที่ 12 ต.ค. ได้มีการระงับการผลิตน้ำมันดิบในอ่าวเม็กซิโกราว 69.4% และระงับการผลิตก๊าซธรรมชาติ 47.1% ซึ่งฟื้นตัวขึ้นหลังจากเมื่อวันอาทิตย์ที่ 11 ต.ค.ซึ่งได้ระงับการผลิตน้ำมันดิบราว 91.01% และระงับการผลิตก๊าซธรรมชาติราว 62.15%
ขณะเดียวกันสัญญาน้ำมันยังร่วงลงหลังจากแรงงานน้ำมันในนอร์เวย์อาจยุติการประท้วง ภายหลังจากที่ได้ผละงานติดต่อกันเป็นเวลานานถึง 10 วัน ซึ่งได้ส่งกระทบต่อการผลิตน้ำมันและก๊าซของนอร์เวย์ราว 25%
นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังได้รับแรงกดดันจากการคาดการณ์ที่ว่า การผลิตน้ำมันในลิเบีย ซึ่งเป็นสมาชิกของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) จะเพิ่มขึ้นเป็น 355,000 บาร์เรล/วัน เนื่องจากแหล่งน้ำมันชาราราสามารถกลับมาดำเนินการผลิตได้อีกครั้งเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา หลังจากที่เกิดเหตุสุดวิสัยจนทำให้การผลิตหยุดชะงักไปก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ ผลผลิตที่เพิ่มขึ้นของลิเบียจะสร้างแรงกดดันให้กับกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส ในการควบคุมปริมาณน้ำมันเพื่อหนุนราคาให้ปรับตัวขึ้น
นักวิเคราะห์จากบีเอ็นพี พาริบาส์ กล่าวว่า หากอุปสงค์น้ำมันยังไม่ฟื้นตัว เนื่องจากมาตรการที่หลายประเทศอาจนำกลับมาใช้เพื่อสกัดการระบาดรอบใหม่ของโควิด-19 ก็อาจทำให้ทางกลุ่มโอเปกพลัสต้องพิจารณาทบทวนแผนการปรับกำลังการผลิตน้ำมันใหม่อีกครั้ง