สัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้า WTI พุ่งขึ้นเกือบ 10% ในวันนี้ ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดในรอบเกือบ 6 เดือน ขานรับความคืบหน้าในการผลิตวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19
นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังได้แรงหนุนจากการที่ซาอุดีอาระเบียแสดงท่าทีสนับสนุนการปรับนโยบายการผลิตน้ำมัน หากกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส ให้ความเห็นชอบ ท่ามกลางปริมาณน้ำมันที่เพิ่มขึ้นในตลาด ขณะที่อุปสงค์ยังคงอ่อนแอ
ณ เวลา 20.09 น.ตามเวลาไทย สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ส่งมอบเดือนธ.ค. ซึ่งมีการซื้อขายที่ตลาด NYMEX เพิ่มขึ้น 3.54 ดอลลาร์ หรือ 9.53% สู่ระดับ 40.68 ดอลลาร์/บาร์เรล
ไฟเซอร์ อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทยาใหญ่ที่สุดของสหรัฐ และ BioNTech ซึ่งเป็นบริษัทยาของเยอรมนี แถลงในวันนี้ว่า ผลการทดลองบ่งชี้ว่า วัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ซึ่งไฟเซอร์และ BioNTech พัฒนาร่วมกัน มีประสิทธิภาพมากกว่า 90% ในการป้องกันไวรัสโควิด-19 สำหรับผู้ที่ไม่เคยติดเชื้อมาก่อน
ก่อนหน้านี้ การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก และฉุดความต้องการใช้น้ำมัน ข่าวความคืบหน้าของการพัฒนาวัคซีนในวันนี้จึงถือเป็นปัจจัยบวกต่อตลาด
ขณะเดียวกัน ซาอุดีอาระเบียแสดงท่าทีสนับสนุนการปรับนโยบายการผลิตน้ำมันของกลุ่มโอเปกพลัส เนื่องจากคาดว่าการคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐของนายโจ ไบเดน จะส่งผลให้ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐและอิหร่านลดลง ซึ่งจะทำให้อิหร่านเพิ่มการส่งออกน้ำมันในตลาด และอาจทำให้ตลาดเผชิญภาวะน้ำมันล้นตลาด
โอเปกพลัสจะจัดการประชุมในวันที่ 30 พ.ย.-1 ธ.ค.เพื่อกำหนดนโยบายการผลิตน้ำมัน ขณะที่ก่อนหน้านี้ โอเปกพลัสมีแผนที่จะเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน 2 ล้านบาร์เรล/วัน โดยเริ่มตั้งแต่เดือนม.ค.2564
ทั้งนี้ โอเปกพลัสตัดสินใจปรับลดกำลังการผลิต 7.7 ล้านบาร์เรล/วันจนถึงสิ้นปี 2563 ก่อนที่จะลดกำลังการผลิตเพียง 5.8 ล้านบาร์เรล/วันตั้งแต่เดือนม.ค.2564 ซึ่งจะทำให้มีปริมาณน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น 2 ล้านบาร์เรล/วันจากโอเปกพลัสไหลเข้าสู่ตลาดน้ำมันโลก
นักวิเคราะห์จาก Economist Intelligence Unit (EIU) คาดการณ์ว่า โอเปกพลัสมีแนวโน้มที่จะเลื่อนแผนการเพิ่มกำลังการผลิต 2 ล้านบาร์เรล/วันออกไป เนื่องจากมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบที่เกิดจากการใช้มาตรการล็อกดาวน์รอบใหม่ในยุโรปเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งจะฉุดอุปสงค์น้ำมันในตลาด