สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (12 พ.ย.) หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐเปิดเผยตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบพุ่งขึ้นในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งสวนทางกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในสหรัฐ
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 33 เซนต์ หรือ 0.8% ปิดที่ 41.12 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนม.ค. ลดลง 27 เซนต์ หรือ 0.6% ปิดที่ 43.53 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบปรับตัวลงหลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้น 4.3 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 6 พ.ย. ซึ่งสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 3 ล้านบาร์เรล
ข้อมูลของ EIA สอดคล้องกับที่สถาบันปิโตรเลียมอเมริกา (API) ซึ่งเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมน้ำมันของสหรัฐ รายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง 5.1 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 6 พ.ย.
รายงานของ EIA ยังระบุว่า สต็อกน้ำมันเบนซินลดลง 2.3 ล้านบาร์เรล ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลง 600,000 บาร์เรล และสต็อกสต็อกน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล ลดลง 5.4 ล้านบาร์เรล ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลง 2 ล้านบาร์เรล
นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจและความต้องการใช้น้ำมัน หลังจากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในสหรัฐทำให้หลายรัฐต้องออกมาตรการที่เข้มงวด โดยล่าสุดรัฐนิวยอร์กสั่งให้ผับบาร์ ร้านอาหาร และโรงยิม ต้องปิดภายในเวลา 22.00 น.และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันศุกร์นี้ ขณะที่นายกเทศมนตรีเมืองชิคาโกได้แนะนำให้ประชาชนอยู่ในบ้านหรือทำงานที่บ้านเป็นเวลา 30 วันนับตั้งแต่วันจันทร์ที่ 16 พ.ย.นี้เป็นต้นไป
นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังได้รับแรงกดดันจากการที่โอเปกปรับลดตัวเลขคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันโลกในปีนี้และปีหน้า เนื่องจากเศรษฐกิจโลกได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
ทั้งนี้ โอเปกปรับลดคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันในปีนี้สู่ระดับ 90 ล้านบาร์เรล/วัน ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2556 และปรับลดคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันในปีหน้าสู่ระดับ 96.3 ล้านบาร์เรล/วัน