สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (13 พ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายสัญญาน้ำมันดิบ ท่ามกลางความวิตกว่า การแพร่ระบาดเพิ่มขึ้นของโรคโควิด-19 จะถ่วงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และจะส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้น้ำมัน นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากการผลิตน้ำมันที่เพิ่มขึ้นจากประเทศลิเบีย
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนธ.ค. ร่วงลง 99 เซนต์ หรือ 2.4% ปิดที่ 40.13 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนม.ค. ร่วงลง 75 เซนต์ หรือ 1.7% ปิดที่ 42.78 ดอลลาร์/บาร์เรล
แต่ในรอบสัปดาห์นี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวขึ้น 8.1% และสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ ปรับตัวขึ้น 8.4%
ตลาดน้ำมันถูกกดดันจากรายงานที่ว่า การผลิตน้ำมันของลิเบียเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากระดับ 1.0 ล้านบาร์เรลต่อวันที่บรรษัทน้ำมันแห่งชาติลิเบียรายงานไว้เมื่อวันที่ 7 พ.ย.ที่ผ่านมา
แนวโน้มการผลิตน้ำมันที่เพิ่มขึ้นในสหรัฐถ่วงตลาดลงด้วย โดยเบเกอร์ ฮิวจ์ ซึ่งเป็นผู้ให้บริการขุดเจาะน้ำมันของสหรัฐเปิดเผยว่า แท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐที่มีการใช้งาน มีจำนวนเพิ่มขึ้น 10 แท่น สู่ระดับ 236 แท่นในสัปดาห์นี้ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค. และเป็นการเพิ่มขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 7 ติดต่อกัน ขานรับการดีดตัวขึ้นของราคาน้ำมัน
ตลาดยังถูกกระทบจากการเปิดเผยข้อมูลของรัฐบาลสหรัฐที่บ่งชี้ว่า สต็อกน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น 4.3 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่ผ่านมา สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดไว้ว่า อาจลดลง 913,000 บาร์เรล
นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังถูกกดดันจากการที่ในช่วงต้นสัปดาห์นี้ สำนักงานพลังงานสากล (IEA) และกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ได้ปรับลดคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันโลกในปีนี้
IEA คาดว่า อุปสงค์น้ำมันโลกจะลดลง 8.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน ลงเหลือ 91.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน โดยลดลงมากขึ้นกว่าที่คาดไว้ในเดือนต.ค.ว่าจะลดลง 8.4 ล้านบาร์เรลต่อวัน
ส่วนโอเปกปรับลดคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันทั่วโลกในปีนี้ลงสู่ระดับ 90 ล้านบาร์เรล/วัน ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2556 และปรับลดคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันในปีหน้าลงสู่ระดับ 96.3 ล้านบาร์เรล/วัน