สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กทำสถิติปิดที่เหนือระดับ 50 ดอลลาร์เป็นครั้งแรกในรอบ 11 เดือนเมื่อคืนนี้ (6 ม.ค.) หลังจากสหรัฐเปิดเผยสต็อกน้ำมันดิบลดลงติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 4 นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากการที่ซาอุดีอาระเบียสมัครใจปรับลดกำลังการผลิตลง 1 ล้านบาร์เรล/วันไปจนถึงสิ้นเดือนมี.ค.
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 70 เซนต์ หรือ 1.4% ปิดที่ 50.63 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนมี.ค. เพิ่มขึ้น 70 เซนต์ หรือ 1.3% ปิดที่ 54.30 ดอลลาร์/บาร์เรล
ราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นหลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง 8 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 1 ม.ค. ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงเพียง 1.2 ล้านบาร์เรล และเป็นการลดลงติดต่อกันสัปดาห์ที่ 4
ส่วนสต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 4.5 ล้านบาร์เรล ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าเพิ่มขึ้น 1.4 ล้านบาร์เรล และน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล เพิ่มขึ้น 6.4 ล้านบาร์เรล ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าเพิ่มขึ้น 2.2 ล้านบาร์เรล
ทางด้านสถาบันปิโตรเลียมอเมริกา (API) ซึ่งเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมน้ำมันของสหรัฐ เปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง 1.7 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 1 ม.ค.
นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังได้ปัจจัยบวกจากการที่ซาอุดีอาระเบียสมัครใจปรับลดกำลังการผลิตลง 1 ล้านบาร์เรล/วัน สู่ระดับ 8.125 ล้านบาร์เรล/วัน โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ.ไปจนถึงสิ้นเดือนมี.ค.
ทางด้านกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส มีมติคงกำลังการผลิตน้ำมันที่ระดับ 7.2 ล้านบาร์เรล/วันไปจนถึงสิ้นเดือนมี.ค. ขณะที่รัสเซียและคาซัคสถานเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันรวมกัน 75,000 บาร์เรล/วันในเดือนก.พ.และมี.ค.