สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (13 ม.ค.) โดยได้รับแรงกดดันจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ รวมทั้งสต็อกน้ำมันเบนซินและน้ำมันกลั่นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าตัวเลขคาดการณ์ นอกจากนี้ นักลงทุนยังวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.พ. ลดลง 30 เซนต์ หรือ 0.6% ปิดที่ 52.91 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนมี.ค. ลดลง 52 เซนต์ หรือ 0.9% ปิดที่ 56.06 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบได้รับแรงกดดันจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ โดยดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.30% แตะที่ 90.3600 เมื่อคืนนี้
ทั้งนี้ การแข็งค่าของดอลลาร์ทำให้สัญญาน้ำมันดิบซึ่งกำหนดราคาเป็นดอลลาร์นั้น มีราคาแพงขึ้น และมีความน่าดึงดูดน้อยลงสำหรับนักลงทุนที่ถือเงินสกุลอื่นๆ
นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังปรับตัวลดลงหลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 4.4 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 2.1 ล้านบาร์เรล ส่วนสต็อกน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล เพิ่มขึ้น 4.8 ล้านบาร์เรล ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.9 ล้านบาร์เรล
อย่างไรก็ดี รายงานของ EIA ระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบลดลง 3.2 ล้านบาร์เรล ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลงเพียง 1.9 ล้านบาร์เรล
ภาวะการซื้อขายในตลาดน้ำมันนิวยอร์กยังได้รับแรงกดดันจากความกังวลที่ว่า ไวรัสโควิด-19 ที่แพร่ระบาดอย่างต่อเนื่องในสหรัฐอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและความต้องการใช้น้ำมัน โดยข้อมูลล่าสุดจาก Worldometer ระบุว่า สหรัฐมีผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จำนวน 23,369,732 ราย และมีผู้เสียชีวิต 389,621 ราย โดยสหรัฐยังคงติดอันดับ 1 ของโลกทั้งจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และผู้เสียชีวิต