สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (22 ม.ค.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกเกี่ยวกับแนวโน้มอุปสงค์น้ำมันที่อ่อนแอลง และปริมาณสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐที่เพิ่มขึ้นเกินคาดในสัปดาห์ที่ผ่านมา
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมี.ค. ลดลง 86 เซนต์ หรือ 1.6% ปิดที่ 52.27 ดอลลาร์/บาร์เรล และปรับตัวลง 0.3% ในรอบสัปดาห์นี้
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนมี.ค. ลดลง 69 เซนต์ หรือ 1.2% ปิดที่ 55.41 ดอลลาร์/บาร์เรล แต่ปรับตัวขึ้น 0.6% ในรอบสัปดาห์นี้ "ความวิตกเกี่ยวกับอุปสงค์กลับมาเป็นจุดสนใจในตลาดน้ำมันอีกครั้ง" ยูจีน ไวน์เบิร์ก นักวิเคราะห์ด้านพลังงานของคอมเมิร์ซแบงก์ รีเสิร์ชระบุ
"จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในระดับสูง, ความล่าช้าในการฉีดวัคซีนต้านโรคโควิด-19 และการล็อกดาวน์ที่นานขึ้นในยุโรป กำลังส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนในตลาดน้ำมัน" เขากล่าว
ตลาดยังถูกกดดันหลังสหรัฐเปิดเผยสต็อกน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นในสัปดาห์ที่แล้ว สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่าสต็อกอาจลดลง โดย สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้น 4.4 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลง 2.5 ล้านบาร์เรล
ส่วนสถาบันปิโตรเลียมอเมริกา (API) ซึ่งเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมน้ำมันของสหรัฐเปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้น 2.6 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว
ราคาน้ำมันยังถูกถ่วงลงจากความกังวลที่ว่าการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในจีนและในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะเป็นปัจจัยฉุดความต้องการใช้น้ำมัน โดยจีนเป็นประเทศที่มีการนำเข้าน้ำมันมากที่สุดในโลก
นอกจากนี้ ตลาดมีความวิตกว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน อาจจะต้องปรับลดวงเงินในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐเพื่อให้สามารถผ่านการอนุมัติจากสภาคองเกรส
ทั้งนี้ สมาชิกสภาคองเกรสหลายรายทั้งจากพรรครีพับลิกันและเดโมแครตต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ และตั้งข้อสงสัยถึงความจำเป็นของการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ของปธน.ไบเดน
ท่าทีดังกล่าวของสมาชิกรัฐสภาสหรัฐอาจกดดันให้ปธน.ไบเดนจะต้องลดวงเงินในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อให้สามารถผ่านการอนุมัติจากสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาสหรัฐ